ทำเนียบรัฐบาล 14 ม.ค.-นายกฯ เรียกอธิบดีกรมปศุสัตว์ แจงโรคระบาด ASF ในหมู กำชับแก้เร็ว สั่งเร่งสำรวจความเสียหาย ด้านเจ้าตัวยืนยันไม่ถอดใจจากตำแหน่ง
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เรียกนายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เข้าพบที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อรายงานสถานการณ์ พร้อมประเมินการแพร่ระบาดโรค ASF ในสุกร ซึ่งขณะนี้ทำให้ราคาเนื้อหมูปรับสูงขึ้น
นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าวภายหลังพบนายกรัฐมนตรี ว่า นายกรัฐมนตรีให้ช่วยกันขับเคลื่อนแก้ปัญหาโรคระบาดในสุกร ซึ่งโรคนี้ไม่ได้เกิดในประเทศไทย แต่เกิดใน 34 ประเทศ ในเอเชีย 14 ประเทศ และพบในประเทศรอบบ้านของไทย โดยเน้นย้ำให้ควบคุมโรคให้ดีและสงบโดยเร็ว เพื่อให้ผู้เลี้ยงสุกรเดินหน้าได้โดยเร็ว และให้ร่วมมือทำงานกับทุกภาคส่วน รวมถึงอาจารย์มหาวิทยาลัย ซึ่งนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจเรื่องราคาสุกรและการนำสุกรเข้าสู่ระบบว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด จึงชี้แจงว่า 8-12 เดือน ซึ่งนายกรัฐมนตรีสั่งการให้สำรวจจำนวนสุกรว่ามีเท่าใด โดยให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาช่วยเหลือ
ส่วนกรณีนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ระบุว่าไม่ทราบจำนวนหมูหายไปไหน อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า หมูไม่ได้หายไปไหน แต่ถือเป็นไปตามระบบ เนื่องจากตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ ถ้าแจ้งมาจะส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและเก็บตัวอย่างมาตรวจในห้องปฏิบัติการของกรมปศุสัตว์ ที่มีสถาบันสุขภาพสัตว์แห่งชาติและศูนย์วิจัยพัฒนาสัตวแพทย์ทั้ง 8 แห่งทั่วประเทศ
“นายกรัฐมนตรีให้สำรวจความเสียหาย ซึ่งชี้แจงว่า ตัวเลขการเคลื่อนย้ายสัตว์ขณะนี้อยู่ที่ 20% ไม่ใช่ 60% ตามที่เป็นข่าว รวมถึงให้สำรวจความเสียหายผู้เลี้ยงรายย่อย ซึ่งการที่หมูแพงไม่ได้เกิดจากโรคเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูที่ต้นทุน ทั้งเรื่องพันธุ์สัตว์และอาหารสัตว์ ที่ขณะนี้วัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับราคาขึ้นทั่วโลก” นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าว
อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า สำหรับการเยียวยาจะเน้นไปที่ผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาด ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชนระดมทุนมาช่วยผู้ประกอบการรายย่อย 100 ล้านบาท หลังจากนั้นจึงมาขอความร่วมมือจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลช่วยเหลือและไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งการให้งบประมาณตั้งแต่ต้นถึง 1,500 ล้านบาท ส่วนใหญ่นำไปลดความเสี่ยงการเกิดโรค ส่วนการช่วยเหลือภาคเอกชนขนาดกลางและขนาดใหญ่ ภาครัฐไม่ได้ช่วยเหลือ
“ผู้ประกอบการรายย่อยที่จะกลับมาเลี้ยงใหม่ ต้องยกระดับการเลี้ยงหมูให้มีความปลอดภัยทางชีวภาพ ตามที่กรมปศุสัตว์ตั้งเกณฑ์ Good Farming Management (GFM ) คือ ต้องป้องกันโรคได้ ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมาก เช่น ใช้ยาฆ่าเชื้อ หรือตรวจสอบย้อนกลับได้ เพื่อนำไปสู่ความปลอดภัยผู้บริโภค โดยกรมปศุสัตว์ได้เสนอเงินไปยังสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อยกระดับตรงนี้ เนื่องจากมีเกษตรกรรายย่อยกว่า 1 แสนราย ขณะนี้ศูนย์วิจัยและพัฒนาพันธุ์สัตว์จะช่วยเกษตรกรรายย่อยด้วยการผลิตสุกรขายในราคาถูก” นายสัตวแพทย์สรวิศ กล่าว
อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องที่เกษตรกรถูกข่มขู่หลังจากมาเปิดเผยข้อมูล และคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้ ส่วนถอดใจการทำงานหรือไม่ ตนไม่ถอดใจ เพราะที่ผ่านมาแก้ปัญหาโรคระบาดในม้า โรคลัมปีสกิน ขณะนี้แทบไม่มีแล้ว ล่าสุดโรคระบาด ASF ในสุกร ซึ่งเกิดมาร้อยปี แต่ยังไม่มีวัคซีน การควบคุมต้องบูรณาการร่วมกัน ซึ่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าใจและให้กำลังใจให้ทำงานสำเร็จลุล่วงต่อไป
นายสัตวแพทย์กิจจา อุไรรงค์ คณะกรรมการที่ปรึกษาของคณะกรรมการนโยบายพัฒนาสุกรและผลิตภัณฑ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า กรณีที่ จ.นครปฐม พบโรคระบาด ASF ในสุกรมา 2 ปีแล้ว เมื่อประกาศเป็นโรคระบาดอย่างเป็นทางการ มาตรการที่เราต้องดำเนินการเป็นเรื่องการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเลี้ยงสุกรให้เกิดความเข้มแข็งเหมือนเดิม และต้องรอประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ปัจจุบันแนวทางที่แก้ปัญหา คือ จะต้องควบคุมการระบาดและฟื้นฟูอุตสาหกรรมสุกรให้กลับมาได้โดยเร็ว โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการเป็นหลัก ผู้เลี้ยงและผู้บริโภคเดือดร้อนน้อยที่สุด ส่วนเรื่องที่เกิดก่อนหน้านี้จะไม่พูดถึงแล้ว
“ราคาหมูที่ปรับสูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย แต่เชื่อว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดการเรื่องนี้อย่างเต็มที่ โรคระบาดในสุกรไม่ได้ก่อโรคในคนหรือสัตว์อื่น เนื้อหมูยังบริโภคได้ปกติ แต่เน้นการปรุงสุก และไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย ดังนั้น อย่าตื่นตระหนก” นายสัตวแพทย์กิจจา กล่าว.-สำนักข่าวไทย