ทำเนียบรัฐบาล 13 ธ.ค. – รมว.ยุติธรรม พร้อมทบทวนการพิจารณาอภัยโทษตามคำชี้แนะนายกฯ ระบุต้องพิจารณาทุกกลุ่ม เพราะหากปรับแก้อาจกระทบกลุ่มอื่น
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์การเสนออภัยโทษให้ผู้ต้องขังในคดีทุจริต ว่า ต้องขอบคุณ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ชี้แนะให้ทุกฝ่ายทำการบ้านให้มากขึ้น รวมถึงให้ดูความพอดีเหมาะสม ซึ่งจะเป็นแนวทางออกที่ดีที่สุดของการดำเนินการ ทั้งนี้ การลดโทษมีทั้งผู้ที่ได้และไม่ได้ประโยชน์จาก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ขอเน้นไปที่กลุ่มคดีอาญาไม่ร้ายแรงและกลุ่มคดีอาญาร้ายแรง คือ บุคคลที่ทำผิดต่อหน้าที่หรือทำผิดต่อเจ้าหน้าที่ คดีข่มขืน คดีฆ่าคน รวมทั้งคดีโครงการทุจริตจำนำข้าว แม้จะเป็นนักโทษชั้นเยี่ยมจะได้รับการลดโทษ 1 ใน 3 ซึ่งดำเนินการเป็นกลุ่มๆ ใน พ.ร.ฎ.อภัยโทษ ฉะนั้นการปรับแก้ในแนวทางต่างๆ จะมีผลกระทบต่อคนกลุ่มดังกล่าว เช่น การฆ่า การทุจริต หรือโทษที่กระทำกับเจ้าหน้าที่ต่างๆ หากจะแก้ต้องแก้กันหมด
“นายกรัฐมนตรีชี้แนะไปแล้ว ถือเป็นทางออกอย่างดียิ่ง เช่น คนที่ได้รับโทษจากคดีจำนำข้าว ก็ได้รับการลดหย่อนโทษไปหลายครั้ง และก่อนหน้าก็ไม่มีการเตรียมปรับแก้อะไร เพราะไม่มีใครทวงถาม ซึ่งการขอพระราชทานอภัยโทษแต่ละครั้งเป็นความลับ และเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้รู้อะไรกันมากมาย ดังนั้น ถ้าจะปรับแก้ทั้งหมดเลยจะกระทบกับคนหลายกลุ่ม สุดท้ายหากจะแก้ไข ต้องให้ผู้ที่มีความรู้มาช่วยกันคิด เพื่อหาทางออกร่วมกัน อย่างไรก็ตาม พ.ร.ฎ.อภัยโทษ มีตั้งแต่ปี 2459 มีมาทั้งหมด 52 ครั้ง เป็นเวลา 105 ปี” นายสมศักดิ์ กล่าว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลังจากนี้จะทำตามแนวทางของนายกรัฐมนตรี และขอย้ำว่า หากแก้ในคดีอาญาร้ายแรง ภายใต้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หากปรับทั้งหมดคิดว่าจะกระทบ เช่น กลุ่มเดินขบวน จะเอาด้วยหรือไม่อย่างไร เพราะต้องปรับไปทั้งกลุ่มตามข้อเสนอ
เมื่อถามที่ระบุว่า หากปรับแก้เรื่องดังกล่าวนี้ จะกระทบกับผู้ชุมนุม หมายความว่าอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า การชุมนุมหากมีความผิด ก็เหมือนกับเป็นความผิดอาญาร้ายแรง ซึ่งจะได้ลดโทษ 1 ใน 3 เช่นเดียวกัน จะเอา 1 ใน 5 ทั้งกลุ่มหรือไม่ หรือจะแยกต่างหากก็ไปว่ากัน
“ผู้รู้ทางกฎหมายต้องศึกษาว่าจะเอาอย่างไร ผมรับได้ทั้งนั้น ผมไม่อยากจะช่วยนักหรอก คนที่ทุจริตต่อหน้าที่ มันเป็นไปตามกรอบแนวปฏิบัติเดิมอยู่” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว.-สำนักข่าวไทย