ทำเนียบ 13 ต.ค.- โฆษกรัฐบาลเผยคลังจับมือแรงงานเดินหน้าข้อสั่งการนายกฯ เชื่อมระบบฐานข้อมูล เร่งรื้อเกณฑ์บัตรคนจนรอบใหม่ แก้ปัญหารับเงินซ้ำซ้อน เข้าถึงคนมีรายได้น้อยอย่างแท้จริง
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้กระทรวงการคลังทบทวนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนให้ทั่วถึง ความคืบหน้า กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างพิจารณาการเปิดลงทะเบียนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ ซึ่งจะปรับปรุงเงื่อนไขการลงทะเบียนให้รัดกุมยิ่งขึ้น และป้องกันการแอบอ้างสิทธิ เช่น ปรับเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่กำหนดไว้เดิม 100,000 บาทต่อปี เป็นให้ใช้เกณฑ์รายได้ครัวเรือนแทน รวมถึงนำทรัพย์สินมาเป็นเกณฑ์พิจารณาด้วย เช่น บ้าน ที่ดิน หรือสลากออมทรัพย์ต่างๆ คาดว่าจะสามารถนำหลักเกณฑ์เสนอ ครม. พิจารณาภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ และเปิดให้ลงทะเบียนได้ในเดือนมกราคม 2565
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมประมาณ 22 ล้านคน โดยแยกเป็นผู้ประกัน มาตรา 33 ที่เป็นคนไทยประมาณ 11 ล้านคน มาตรา 39 ประมาณเกือบ 2 ล้านคน และมาตรา 40 ที่เพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10 ล้านคน ซึ่งล่าสุดกระทรวงการคลังได้หารือกับกระทรวงแรงงาน เพื่อขอนำฐานข้อมูลผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการคัดกรองคุณสมบัติผู้ที่จะลงทะเบียน ควบคู่กับการปรับปรุงเกณฑ์รายได้ และเกณฑ์ด้านอื่น เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความถูกต้องสามารถช่วยเหลือผู้เดือดร้อนตัวจริง นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำเสมอในการทำงานให้แต่ละกระทรวงบูรณาการเชื่อมโยงข้อมูลกันเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพที่สุด ในครั้งนี้กับกระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงานก็ได้ร่วมกันดำเนินการตามข้อสั่งการนายกฯ ในการคัดกรองคุณสมบัติผู้ที่จะลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ให้มีความถูกต้อง และลดความซ้ำซ้อนการได้รับความช่วยเหลือจากมาตรการภาครัฐ โดยรัฐบาลจะบูรณาการฐานข้อมูลร่วมกับคณะกรรมการนโยบายลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขความยากจนอีกทาง พร้อมทั้งเพิ่มหลักเกณฑ์รายได้ครัวเรือนในการคัดกรอง เพื่อให้คนที่ได้รับสิทธิเป็นผู้มีรายได้น้อยหรือต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง โดยจะรีบกำหนดช่วงเวลาที่จะเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ให้เร็วที่สุดโดยดูความเหมาะสมของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ควบคู่ไปด้วย คาดไว้ประมาณเดือนมกราคม 65 .-สำนักข่าวไทย