พรรคเพื่อไทย 29 ก.ย. –ที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติ ไม่ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความปมวาระดำรงตำแหน่งนายกฯ ไม่เกิน 8 ปี ชี้ รัฐธรรมนูญ ม.158 วรรคสี่ กำหนดชัดแล้ว
นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านหารือกรณีวาระการดำรงตำแหน่งของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตามบทบัญญัติมาตรา 158 เขียนไว้ชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีมีวาระดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ว่า เรื่องการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญมาตรา 158 เขียนชัดว่าจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกิน 8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่
“ฝ่ายค้านแทบจะไม่ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะชัดเจนในตัวมันแล้ว ถ้าตีความแบบฝ่ายค้านตีความ ต้องนับตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคม 2557 และบทเฉพาะกาลมาตรา 264 ในรัฐธรรมนูญยังระบุว่า ครม.ที่เป็น ครม.อยู่ก่อน รัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้เป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทั้งนี้ การยื่นร้อง ถ้าไม่มีเหตุเกิดขึ้น ศาลก็คงจะไม่รับไว้ เราจึงจะไม่ยื่นในขณะนี้ เพราะยื่นไว้คงไม่เกิดประโยชน์ เราจะพิจารณาเรื่องนี้เมื่อมีเหตุแล้ว” นพ.ชลน่านกล่าว
พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ กล่าวว่า กฎหมายเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรไว้อย่างชัดเจน คนที่ตีความเป็นอย่างอื่นเป็นการทำลายกฎหมายสูงสุด ถ้าถึงเวลาที่นายกรัฐมนตรีต้องพิจารณาตัวเอง ไม่เช่นนั้นจะเป็นคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ที่สำคัญคือเป็นการทำลายหลักนิติรัฐ นิติธรรมของประเทศ
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ประเด็นนี้ต้องดูจากบทบัญญัติที่ยึดโยงกันอย่างน้อย 3 มาตรา คือมาตรา 158 ระบุไว้ชัดเจน ซึ่งคณะผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้ทำเอกสารอธิบายความมุ่งหมายไว้ชัดเจนว่า เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจในทางการเมืองยาวเกินไป อันจะเป็นต้นเหตุให้เกิดวิกฤตทางการเมือง และหากเรายังปล่อยให้พล.อ.ประยุทธ์สืบทอดอำนาจนานเท่าไหร่จะเป็นปัญหาทางการเมืองจนเกิดวิกฤติ ซึ่งมาตรา 170 ระบุไว้ชัดเจนว่าความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนดระยะเวลา ตามมาตรา 158 และบทเฉพาะกาลมาตรา 264
“มีประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ 1.ครม.ที่ดำรงตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ให้ถือเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย และ 2.หากดูบทเฉพาะกาลมาตรานี้จะยกเว้นลักษณะต้องห้าม และเหตุที่ต้องพ้นจากตำแหน่งของรัฐมนตรี แต่ไม่มีมาตราไหนเลยที่จะยกเว้นมาตรา 170 ฝ่ายค้านจึงไม่จำเป็นต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญในตอนนี้ เพราะจะเป็นการขยายอำนาจให้ศาลรัฐธรรมนูญมากเกินจำเป็น เราหวังว่านายกฯ จะเคารพเจตจำนงของรัฐธรรมนูญที่ตัวเองและแม่น้ำหลาย ๆ สายของนายกฯ ยกร่างเอาไว้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว ผมว่าไม่จำเป็นต้องรอถึงสิงหาคมปีหน้า ทุกวันนี้ผมคิดว่ารัฐบาลทราบดีว่าเราอยากได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่เร็วที่สุดทุกเวลา สิงหาคมปีนี้ยังคิดว่าช้าเกินไป” นายชัยธวัช กล่าว
เมื่อถามว่าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่สามารถเสนอชื่อพล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช่หรือไม่นั้น นายประเสริฐ กล่าวว่า หากนับการดำรงตำแหน่งเริ่มตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2557 ก็ไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้แล้ว ส่วนพ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า สามารถเสนอได้ ถ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันอยู่แล้ว แต่ประชาชนต้องตื่นรู้ว่าคุณเป็นรัฐมนตรีได้ไม่กี่วัน 7 ปีบ้านเมืองเราบอบช้ำมามากแล้ว ท่านบริหารประเทศมีแต่ความเหลื่อมล้ำ มีแต่กู้เงินไปใช้แล้วไม่มีอนาคตใช้หนี้ได้ และมีปัญหาสังคมมากมาย วันนี้ต้องเปิดโอกาสให้ผู้นำที่ประชาชนเลือกจะดีกว่า
ส่วนกังวลหรือไม่หากฝ่ายรัฐบาลจะชิงยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความในประเด็นวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เป็นอำนาจของ กกต.และ ครม.ที่ยื่นได้ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าหากครม.ชิงยื่นศาลรัฐธรรมนูญก่อนจะเป็นการฟอกตัวให้นายกฯหรือไม่ แต่ถ้ากกต.ยื่นอาจจะเป็นเจตนาบริสุทธิ์ เพราะกกต.ทราบว่าหากจัดการเลือกตั้งจะมีปัญหาหรือไม่ เชื่อว่าหากยื่นจริง มีแนวโน้มว่าศาลจะรับคำร้อง เพราะเคยมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาแล้ว อย่างกรณีนายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพปชร. วินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา เป็นต้น
เมื่อถามย้ำว่าหากศาลตีความในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ครบวาระแล้ว จะเกิดเดดล็อกทางการเมืองหรือไม่ นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ถ้ามีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญออกมาว่าวาระการดำรงตำแหน่งของ พล.อ.ประยุทธ์ นับตั้งแต่สิงหาคม 2558 และเมื่อเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งไป มีผลแน่นอนต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ถามว่าใครจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ โดยเฉพาะกกต.ที่ไม่ตรวจสอบคุณสมบัติการเข้ามาสู่ตำแหน่ง ขอย้ำว่าบทบัญญัติกฎหมายเขียนไว้ชัดเจน และไม่จำเป็นต้องยื่นแต่อย่างใด เมื่อครบ 24 สิงหาคม มีเจตนารมณ์ดำรงตำแหน่งต่อ เราถึงจะมีหน้าที่ เพราะเราปกป้องรัฐธรรมนูญและประชาชน.-สำนักข่าวไทย