ทำเนียบรัฐบาล 27 ก.ย.-ที่ประชุมศบค.ขยายระยะเวลาพ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ ถึง 30 พ.ย. คงเคอร์ฟิวต่ออีก 15 วันแต่ลดเวลาเคอร์ฟิวเป็น 4 ทุ่มถึงตี 4 เปิดศูนย์การค้า-ร้านสะดวกซื้อได้ถึง 3 ทุ่ม ให้ร้านอาหารเล่นดนตรีสดได้ 1 ต.ค.นี้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) หรือ ศบค. ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) โดยที่ประชุมศบค. มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาประกาศพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรถึง 30 พฤศจิกายนนี้ โดยปรับระยะเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน หรือ เคอร์ฟิว เป็น 22.00-04.00 น. เปิดร้านเสริมสวย นวด/สปา สถานเสริมความงาม โรงภาพยนตร์ เล่นดนตรีในร้านอาหารได้ตามปกติ เริ่ม 1 ต.ค. นี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังคงต้องไม่ประมาท ยังต้องเดินหน้าฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ทั่วถึง ติดตามการกระจายเวชภัณฑ์ ขณะเดียวกันจะขยายรูปแบบ Sandbox ในส่วนกิจการ กิจกรรมอื่น ๆ ให้มากขึ้น อาทิ ปรับกิจกรรมภายในโรงแรมเพื่อรองรับการท่องเที่ยว เพื่อเตรียมความพร้อมการเปิดรับนักท่องเที่ยวและการเปิดประเทศต่อไป ซึ่งนับตั้งแต่การระบาดระลอกแรก ภาคแรงงานและภาคประชาชนได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด–19 มากขึ้น ภาคเอกชนได้เตรียมพร้อมรับมือโรคระบาดได้เป็นอย่างดี พร้อมฝากกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาช่วยเหลืออุตสาหกรรมบันเทิงและศิลปินพื้นบ้านด้วย
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รู้สึกดีใจที่ไทยสามารถฉีดวัคซีนโควิด-19 รายวันได้เกิน 1 ล้านโดส ซึ่งมั่นใจว่าไทยมีศักยภาพในการฉีดวัคซีนได้บรรลุตามเป้าหมาย โดยฝากให้กระทรวงสาธารณสุขช่วยดูแลการบริหารจัดการวัคซีนสำหรับเด็กเล็กด้วย
นายกรัฐมนตรี รับทราบแผนการฉีดวัคซีนโควิด-19 สำหรับชาวต่างประเทศและแรงงานต่างด้าวโดยจะเริ่ม 1 ตุลาคม นี้ โดยยืนยันว่ารัฐบาลได้ดำเนินการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมแผนการช่วงเปลี่ยนผ่านของโควิด-19 จากการระบาดใหญ่ทั่วโลก หรือ Pandemic สู่โรคประจำถิ่น Endemic ซึ่งต้องขอให้แต่ละฝ่ายถอดบทเรียนการทำงานในแต่ละช่วงของการแพร่ระบาด เพื่อเป็นแนวทางรองรับสถานการณ์ในอนาคตด้วย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมศบค.มีมติเห็นชอบการปรับมาตรการป้องกันและควบคุมโรคโควิด-19 ตั้งแต่ 1 ต.ค. 64 ดังนี้ 1.เปิดกิจการ กิจกรรม ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และเด็กก่อนวัยเรียน ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ศูนย์การเรียนรู้ ร้านทำเล็บ ร้านสัก สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ นวด สปา กีฬาในร่ม โรงภาพยนตร์ การเล่นดนตรีในร้านอาหาร แต่ยังไม่เปิดศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุมหรือสถานที่จัดนิทรรศการ และลดเวลาห้ามออกจากเคหสถาน เป็น 22.00 -04.00 น. อย่างน้อย 15 วัน รวมถึงขยายเวลาสำหรับกิจการ กิจกรรมเปิดบริการได้ถึง 21.00 น. ได้แก่ ศูนย์การค้า ร้านสะดวกซื้อ ส่วนการแข็งขันกีฬากลางแจ้ง หรือในร่มเป็นที่โล่ง กีฬากลางแจ้งมีผู้ชมได้ ร้อยละ 25
“2.ปรับมาตรการสำหรับผู้เดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยปรับลดระยะเวลาการกักกันสำหรับผู้มีเอกสารวัคซีนโควิด-19 ครบ เหลือ 7 วัน ในส่วนผู้ที่ยังไม่มีเอกสารวัคซีน ให้กักตัวตั้งแต่ 10 -14 วัน สำหรับการเดินทางเข้าประเทศทางอากาศกักตัว 7 วัน ทางน้ำและทางบก กักตัว 10 -14 วัน อนุญาตให้ทำกิจกรรมในสถานที่กักกันตามเงื่อนไขที่กำหนด ให้เปิดพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว เพิ่มเติม ตั้งแต่วันที่ 1-31 ตุลาคม ได้แก่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เขาหลัก เกาะยาว จ.พังงา และ เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ คลองม่วง ทับแขก จ.กระบี่ มทั้งมีแนวทางเปิดพื้นที่เพิ่มเติม 10 จังหวัด เริ่ม 1 พฤศจิกายน 2564 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร จ.กระบี่ จ.พังงา (ทั้งจังหวัด) จ.ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน หนองแก) จ.เพชรบุรี (ชะอำ) จ.ชลบุรี (พัทยา บางละมุง จอมเทียน บางเสร่) จ.ระนอง เกาะพยาม จ.เชียงใหม่ (อ. เมือง แม่ริม แม่แตง ดอยเต่า จ.เลย (เชียงคาน) และ จ.บุรีรัมย์ (เมือง)” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ภาครัฐ ภาคเอกชน คณะที่ปรึกษา ที่ร่วมกันทำทำงานหนักมาตลอดระยะ 2 ปี ทำให้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ พร้อมยืนยันว่าที่ผ่านมา รัฐบาลให้ความสำคัญและเห็นถึงความจำเป็นในการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ในการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในไทย และการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ทั้งภายในปี 2564 และต่อเนื่องสำหรับการจัดหาวัคซีนในปี 2565 ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องด้วย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือของเราทุกคน เพื่อร่วมกันเดินหน้า พลิกโฉมประเทศไทย.-สำนักข่าวไทย