ทำเนียบรัฐบาล 21ก.ย.-ครม.ทบทวนมติครม.ปี 2513 กำหนดคุณสมบัตินักศึกษาแพทย์ที่ทำสัญญาชดใช้ทุนต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมด้วย หลังพบสำเร็จการศึกษาแต่สอบไม่ผ่านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมเพิ่มขึ้น ทำ สธ.ต้องหาตำแหน่งลงให้
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบให้ทบทวนมติครม.เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2513 เรื่อง การแก้ไขปัญหาขาดแคลนแพทย์ โดยกำหนดคุณสมบัติของนักศึกษาแพทย์ผู้ทำสัญญาการเป็นนักศึกษาแพทย์ที่เข้าปฏิบัติงานชดใช้ทุน ดังนี้ นักศึกษาทุกคนจะต้องทำสัญญาเป็นข้อผูกพันว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต และได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม จึงจัดสรรให้ไปปฏิบัติงานชดใช้ทุน และต้องทำงานให้แก่ราชการเป็นเวลา 3 ปี ต่างจากเดิมที่ไม่ได้กำหนดเรื่องที่จะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมไว้
“สำหรับข้อกำหนดเรื่องใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั้น เปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ตามข้อบังคับแพทยสภาในปี 2546 จากเดิมที่กำหนดให้ผู้สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตร์ทุกรายเป็นผู้มีใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม เป็นกำหนดใหม่ว่า จะต้องผ่านการสอบวัดความรู้ตามที่แพทยสภากำหนดก่อนจึงจะได้รับใบอนุญาตฯ ดังกล่าว” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปัจจุบันมีสถาบันการศึกษาภาครัฐที่ผลิตแพทยศาสตรบัณฑิตจำนวน 20 แห่ง ในปีงบประมาณ 2562-2564 มีผู้สำเร็จการศึกษาเฉลี่ยปีละ 2,625 คน โดยปฏิบัติงานชดใช้ทุนในส่วนราชการหรือหน่วยงานอื่นเฉลี่ยปีละ 585 คน คิดเป็นร้อยละ 22.29 ปฏิบัติงานในกระทรวงสาธารณสุขเฉลี่ยปีละ 2,026 คน คิดเป็นร้อยละ 77.18 และมีผู้ชดใช้ค่าปรับแทนการปฏิบัติงานชดใช้ทุนเฉลี่ยปีละ 14 คน คิดเป็นร้อยละ 0.53
“กระทรวงสาธารณสุขได้รวบรวมและวิเคราะห์จำนวนนักศึกษาแพทย์ที่สำเร็จการศึกษาแต่ไม่ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม พบว่า มีผู้สอบไม่ผ่านใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ปีงบประมาณ 2562 จำนวน 171 คน คิดเป็นร้อยละ 6.5 ปีงบประมาณ 2563 จำนวน 231 คน คิดเป็นร้อยละ 8.76 และปีงบประมาณ 2564 จำนวน 299 คนคิดเป็นร้อยละ 11.45 ซึ่งจะเห็นว่ามีแนวโน้มสูงขึ้น” รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ส่วนราชการหรือหน่วยงาน จะส่งตัวนักศึกษาแพทย์ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมคืนมาปฏิบัติงานชดใช้ทุนในกระทรวงสาธารณสุข ทำให้แพทย์ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องมาปฏิบัติงานในตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข ซึ่งไม่สามารถปฏิบัติงานในหน้าที่แพทย์ได้ ทำให้กระทรวงสาธารณสุขไม่มีตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขเพียงพอในการบรรจุนักศึกษาแพทย์ดังกล่าว รวมทั้งยังสูญเสียโอกาสในการบรรจุอัตรากำลังในตำแหน่งนักวิชาการสาธารณสุขจากสาขาอาชีพอื่นที่เกี่ยวข้อง.-สำนักข่าวไทย