ทำเนียบรัฐบาล 20 ก.ย.-“พล.อ.ประวิตร” ประชุมคจร. เตรียมใช้ M-Flow เก็บเงินไม่มีไม้กั้น นำร่อง 4 ด่าน ลดปัญหาจราจร พร้อมเห็นชอบโครงการศึกษาจัดทำแผนการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟร่วมกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความัม่นคง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก(คจร.) ครั้งที่ 2/2564 โดยมีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมมหาดไทย และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าแผนการติดตั้งระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางแบบไม่มีไม้กั้น(M-Flow) ซึ่งจะเปิดให้บริการเดือนตุลาคมนี้ จำนวน 4ด่าน ที่ด่านทับช้าง1,2 และด่านธัญบุรี1,2
ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบคมนาคม และการแก้ไขปัญหาการขนส่ง การจราจรทางบก ได้แก่แผนแม่บทการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ กลุ่มจังหวัด ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง สำหรับรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อขับเคลื่อนโครงการไปสู่การปฏิบัติ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ EEC และเห็นชอบโครงการศึกษาจัดทำแผนการพัฒนาโครงข่ายทางรถไฟร่วมกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorways-Railways Masterplan : MR-Map) ซึ่งจัดทำร่างโครงข่ายเส้นทางเบื้องต้น จำนวน 10 เส้นทาง มีระยะทางรวม 6,540 ก.ม
ทั้งนี้ จัดทำเป็นโครงการนำร่อง 4 เส้นทาง ได้แก่ 1.เส้นทาง กาญจนบุรี(ด่านเจดีย์สามองค์)-อุบลราชธานี(สะพานมิตรภาพแห่งที่ 6) 2.เส้นทาง ชุมพร-ระนอง 3.เส้นทางหนองคาย-แหลมฉบัง และ 4.เส้นทางวงแหวนรอบนอก กทม.รอบที่ 3 ซึ่งจะก่อให้เกิดการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์ของประเทศไทย และเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งทางถนนทางราง ทางน้ำและทางอากาศ เพื่อสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ต่อไป นอกจากนั้นที่ประชุมเห็นชอบโครงการระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง(สถานีรังสิต) จ.ปทุมธานี โดยมีรูปแบบการเดินรถที่สอดคล้องกับระบบรถไฟฟ้า(on Schedule services) ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้บริการได้กับประชาชนทุกคน รวมถึงผู้พิการ ด้วย
พล.อ.ประวิตร กล่าวย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องบูรณาการทำงานร่วมกัน อย่างจริงจัง และต้องเร่งรัดแผนงาน / โครงการให้รวดเร็ว สามารถรองรับการบริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง ทั้งการขนส่งและการจราจร เพื่อส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม ของประเทศ ให้ก้าวหน้าอย่างไม่มีขีดจำกัดในอนาคตต่อไป.-สำนักข่าวไทย