กทม. 28 ส.ค.- “หมอพรทิพย์” ไม่เชื่อ คดี ‘ผกก.โจ้’ จะขยายผลได้หมด คาดตัดตอนไปที่เรื่องตาย ไม่ไปเรื่องอื่น ห่วงคนส่งคลิปแฉ หวั่นถึงขั้นตาย เชื่อ ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ไม่ผ่าน ชี้มี กมธ.สายตำรวจบล็อก ท้วงแล้วท้วงอีก
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) เปิดเผยถึงการจับกุม พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ ผู้กำกับโจ้ อดีต ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ หลังร่วมกับพวกใช้ถุงคลุมศีรษะผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนถึงแก่ความตายว่า กังวลลักษณะของคดี เพราะเป็นการเสียชีวิตโดยการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ และเป็นการใช้อำนาจตามบทกฎหมายที่มี ซึ่งการที่มีคนเสียชีวิตในขณะที่จับกลุ่มนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ทั้งที่สากลให้ความสำคัญอย่างมากแต่ประเทศไทยไม่เคยใส่ใจในเรื่องนี้ แม้ว่าจะมีการแก้กฎหมายไปแล้วเมื่อปี 2543 ในการตายที่มีการควบคุมของเจ้าพนักงาน จะมีมาตรการเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่ว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย อย่างเช่นในกรณีนี้ เป็นการตาย แล้วก็ส่งไปชันสูตร แล้วก็บิดเบือนข้อมูล พอศพเผาไปแล้ว ก็ไม่ได้ทำตามกฎหมายข้อนี้
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ยอมรับว่า ห่วงระบบการตรวจสอบในกรณีเช่นนี้ เรายังไม่เคยมีกฎหมายหรือระเบียบโดยเฉพาะ ตลอดเวลาก็ยังคงเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยกันที่เป็นคนสอบสวน และไม่เคยที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรมกับคนตายได้ ซึ่งตามสากลจะเน้นหน่วยงานที่เป็นกลางไม่ใช่หน่วยงานเดียวกัน ดังนั้น จากกรณีนี้จะเห็นได้ว่าตำรวจผู้ใหญ่ เหมือนให้โอกาสอย่างไม่ตรงไปตรงมา ขณะเดียวกัน ยังห่วงเรื่องการที่มีอำนาจแล้วไปใช้ประโยชน์ ซึ่งที่เห็นเด่นชัดคือเรื่องยาเสพติด รถหรู เพราะตอนนี้ตนเองติดตามเรื่องของยาเสพติดอยู่
“ทำไมเราจัดการกับต้นตอไม่ได้ ก็เพราะมันมีขบวนการแบบนี้ ก็คือ ล่อซื้อ และ ป.ป.ส.เป็นคนบอกเองว่า ที่จับได้ไม่ใช่ความต้องการจริง แปลว่ามันเหมือนการจัดฉากบางอย่าง เพื่ออะไร เพื่อสินบน เพื่อผลงานช่วงโยกย้ายอะไรประมาณนี้ เพราะฉะนั้น เคสนี้เห็นชัดแต่เรื่องนี้รวมถึงเรื่องรถหรู ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เราก็คงปล่อยให้กระบวนการที่อาจจะเอาเข้ามาเองหรือล่อเข้ามาก็แบบยาเสพติด แล้วก็ได้สินบนนำจับแล้วก็ไปตามซื้อตอนประมูลอีก ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เชื่อโดยสุจริตว่าจะสามารถสืบสวนสอบสวนขยายได้หมด เพราะส่วนใหญ่ก็จะตัดตอนไปที่เรื่องของการตาย ไม่ไปเรื่องอื่น” พญ.คุณหญิง พรทิพย์ กล่าว
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ตำรวจว่า ปัญหาของตำรวจ คือไม่สามารถอำนวยความยุติธรรมได้จริง เพราะว่าตำรวจเป็นต้นสายธาร และปัญหาอีกหนึ่งอย่างก็คือการวิ่งเต้น
“การโยกย้ายตำแหน่งที่ทำให้คนมันเหนื่อยเพราะต้องวิ่งเต้นเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่ง ก็เลยทำให้คนไม่อยากมาทำงานพนักงานสอบสวน เขาก็อุตส่าห์ไปเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ แล้วก็บอกบทเฉพาะกาลว่าจะต้องทำให้เสร็จภายในหนึ่งปี แล้วปรากฏว่านายกรัฐมนตรี ก็เป็นผู้ที่รับปาก แต่พอมาดูกระบวนการก็จะเห็นว่าชักเข้าชักออก ตั้งมาไม่รู้กี่ชุด สุดท้าย ร่าง พ.ร.บ.นี้ ไม่ได้พูดเรื่องยุติธรรม แต่พูดเรื่องโยกย้าย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะผ่านได้ง่าย มันเหมือนผสมหลายร่างเข้ามา” พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว
พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าวว่า ตอนนี้ในกรรมาธิการตำรวจมีการถกเถียงกันว่าองค์ประกอบของคณะกรรมการ การแบ่งโรงพักชั้นต่างๆ ซึ่งมองว่าเป็นกฎหมายจับฉ่ายมากๆ วนกลับไปกลับมา ซึ่งส่วนตัวมองว่าการพิจารณาแบบนี้ไม่ผ่าน เพราะท้วงแล้วท้วงอีก ตำรวจที่เป็นกรรมาธิการและตำรวจที่มาชี้แจงก็จะบล็อก ทั้งนี้ สิ่งที่กรรมาธิการที่ไม่ใช่ตำรวจต้องการเห็น คือ จะยกระดับงานสอบสวนอย่างไร แต่ก็มีการอ้างว่าฉบับนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องสอบสวนทั้งที่จริงนั้นไม่ใช่ และด้านกระบวนการยุติธรรมก็ไม่โผล่เลย
เมื่อถามถึงความเชื่อมั่นในองค์กรตำรวจหลังจากเกิดคดีดังกล่าวขึ้นมา พญ.คุณหญิงพรทิพย์ เชื่อว่า ภายในองค์กรตำรวจเจ็บปวดกับการที่ทำงานอย่างเต็มที่ แต่มีคนตัดหน้ามีคนมาเตะมาเขี่ยออก และตัวเองจะไม่ทำตามก็ไม่ได้ และพยายามให้อยู่ในขบวนการเดียวกันเพื่อรักษาตำแหน่งและเพื่อไปต่อ มั่นใจว่า มีตำรวจดีเยอะ แต่มีความไม่กล้า จึงอยากเห็นผู้กล้าที่ลุกขึ้นมาทำเพื่อให้ระบบดีขึ้น อย่าสนใจว่าลุกขึ้นมาทำแล้วจะเป็นอย่างไรต่อ เชื่อว่าคนที่เริ่มอาจจะเจ็บแต่ไปต่อได้ แต่ถ้าให้คนอื่นมาปฏิรูปให้ ย่อมเจ็บปวดมากกว่า เพราะคนอื่นไม่สามารถรู้ได้ถึงความจำเป็นของตัวเอง
“ระบบส่วย ก็ไม่ได้ถูกแก้ด้วยกฏหมายนี้ ก็ด้วยความห่วงใยจึงคิดว่า ควรมีตำรวจน้ำดีลุกขึ้นมา ซึ่งตอนนี้กำลังดูว่าเขาจะทำอย่างไรกับคนที่นำคลิปมาให้ ห่วงว่าจะตาย เพราะเขาไม่สนว่าเป็นการกระทำที่ผิด เขาสนแค่ว่าเพราะขัดผลประโยชน์ก็เลยโผล่ออกมา สุดท้ายก็ทำให้องค์กรเสียชื่อ ดังนั้น อย่าทำอะไรให้มันใหญ่โตไปกว่านี้ หันมามองตัวเอง สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดตลอดเวลาคือการไม่ฟังผู้น้อย การให้ความเห็นทั้งหมดเป็นผู้ที่อยู่ในระดับบนเท่านั้น” พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว
เมื่อถามถึง ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ระบุว่า น่าเสียดาย ซึ่งกระทรวงยุติธรรมโดยกรมคุ้มครองสิทธิ์ฯได้ผลักดันออกมาแต่เป็นลักษณะกฎหมายที่เขียนภาพเสือให้วัวกลัว แต่ไม่มีเสืออยู่จริง เหมือนกับเขียนว่า อย่าอุ้ม อย่าซ้อม แต่ไม่ได้กำหนดกระบวนการตรวจสอบ เพราะการตรวจสอบจะมีทั้งการตรวจร่างกายและการตรวจศพ
“อย่างกรณีดังกล่าว สมมติว่า ไปบอกหมอว่าเสพยาเกินขนาด ก็ทำให้ยาก และถ้าไปเจอคุณหมอที่ไม่ใช่หมอนิติเวช แล้วดูบาดแผลไม่เป็น ก็ไม่สามารถช่วยให้เกิดความเป็นธรรม ดังนั้นกรณีการซ้อมทรมานต้องพูดเรื่องการปวดบาดแผล และต้องหาหน่วยงานกลางที่มารับเรื่อง แต่ถ้าเป็นระบบตำรวจอย่างทุกวันนี้ จะทำคดีก็ให้ตำรวจ จะตรวจศพก็ให้ตำรวจ ไม่มีทางแก้ได้ เพราะฉะนั้นถือว่าร่างกฏหมายฉบับนี้ไม่ครบ ส่วนเรื่องการอุ้มหายก็ไม่มีการพูดถึงเรื่องการติดตามศพนิรนาม เพราะในประเทศไทย เมื่อบอกว่าเป็นศพไร้ชื่อก็ไม่มีความใส่ใจ ส่งไปฝังอย่างไม่มีระบบ ศพนิรนามจึงกลายเป็นหลุมดำหลุมใหญ่ของกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น กฎหมายนี้มีจุดอ่อน ก็ไม่รู้ว่า ส.ส.จะผลักดันได้แค่ไหน” พญ.คุณหญิงพรทิพย์ กล่าว .-สำนักข่าวไทย