สำนักงาน ป.ป.ช. 20 ส.ค.-ประธาน ป.ป.ช. รับสถานการณ์ทุจริตไม่ลด ช่วงโควิดพบเรื่องร้องเรียนกว่า 15,283 เรื่อง เดินหน้าป้องปรามเชิงรุก
พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นประธานเปิดงานสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับชาติ เรื่อง “ถอดกับดัก คอร์รัปชัน : The Big Push in Corruption Trap” และกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “กับดักคอร์รัปชันในอนาคต : การถอดกับดักที่ทรงพลัง” เนื้อหาระบุว่า ยุทธศาสตร์ชาติป้องกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ 3 สิ้นสุดลง ปี 2564 จึงต้องสรุปผลการดำเนินการ เพื่อวิเคราะห์แสวงหาแนวทางในการป้องกันการทุจริตทุกระดับ และในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน ทำให้ประชาชนมีความทุกยาก แต่การทุจริตเป็นปัจจัยที่เพิ่มความทุกยากในสังคมเพิ่มขึ้น โดยสถิติเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ระหว่างปี 2560-2564 พบว่าปี 2560 มีเรื่องกล่าวหา 4,896 เรื่อง ปี 2561 มีเรื่องกล่าวหา 4,622 เรื่อง โดยในปี 2562 จนถึงปัจจุบัน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 2561 กำหนดให้ ป.ป.ช.รับเรื่องร้องเรียนกล่าวหาทุจริตของเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ทำให้ในปี 2562 มีเรืองกล่าวหา 10,382 เรื่อง ป.ป.ช.รับดำเนินการเอง 3,285 เรื่อง มูลค่าความเสียหาย 2.3 แสนล้านบาท ส่วนปี 2563 มีเรืองกล่าวหา 9,130 เรื่อง ป.ป.ช.รับดำเนินการเอง 2,951 เรื่อง มูลค่าความเสียหาย 9 หมื่นล้านบาท และในปี 2564 (ข้อมูลจนถึงวันที่ 26 ก.ค.2564) มีเรืองกล่าวหา 6,153 เรื่อง ป.ป.ช.รับดำเนินการเอง 1,963 เรื่อง ทั้งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้ในภาวะวิกฤติโควิดเกิดขึ้น 2563-2564 แต่ยังมีคำกล่าวหา 15,283 กรณี แสดงว่าการทุจริตไม่มีการลดราวาศอกหรืออ่อนข้อให้กับสถานการณ์ใดๆ
“กับดักคอร์รัปชัน คือ จิตใจ ความรู้สึกที่อ่อนแอ ถูกครอบงำโดยง่ายด้วยกิเลสและความโลภ ขาดอุดมการณ์และแรงจูงใจในการประพฤติดี มีค่านิยมที่ผิดยกย่องคนมีเงินโดยไม่สนใจปัจจัยอื่นๆ ยอมตกอยู่ใต้อิทธิพลของผู้ทุจริต และมีค่านิยมว่าการทุจริตเป็นวิถีชีวิตปกติธรรมดา ดังนั้นการถอดกับดักคอร์รัปชัน คือการพัฒนาจิตใจของบุคคล ครอบครัว ชุมชนให้เข้มแข็ง”ประธาน ป.ป.ช. กล่าว
พล.ต.อ.วัชรพล กล่าวอีกว่า ป.ป.ช.ได้ดำเนินการทั้งการป้องกันและปราบปรามการทุจริตเชิงรุก ทั้งมาตรการและข้อเสนอแนะป้องกันการทุจริต ต่อ ครม. และหน่วยงานต่างๆ การประเมินความโปร่งใสหน่วยงานภาครัฐ โดยในปี 2564 มีหน่วยงานภาครัฐเข้าประเมิน 8,300 แห่ง ผลการประเมินได้คะแนนเฉลี่ย 81.25 ส่วนหน่วยงานที่ผ่านเกณฑ์ 85 คะแนนขึ้นไปมีจำนวน 4,146 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 49.95 ทั้งนี้จากปี 2561-2564 การประเมินมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แสดงว่าการให้บริหารหน่วยงานภาครัฐได้รับการยอมรับจากประชาชนมากขึ้น ซึ่งในปี 2565 จะมีการประเมินรายละเอียดไปถึงระดับอำเภอเพิ่มเติม 878 แห่ง และสถานีตำรวจนครบาล 88 หน่วย ทั้งนี้ยังมีมาตรการป้องกันเชิงรุก คือการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต และยังมีกลไกป้องกันและป้องปรามการทุจริตในระดับชุมชนและสังคม โดยมีการจัดตั้งชมรม strong – จิตพอเพียงต้านทุจริต ในทุกจังหวัด มีสมาชิก 63,552 คน นำมาสู่การป้องกันทุจริตเชิงรุก ร่วมป้องปรามการทุจริตในชุมนุม โดยผลลัพธ์การดำเนินการของชมรม strong – จิตพอเพียงต้านทุจริต เช่น เสาไฟปะติมากรรมกินรี จ.สมุทรปราการ เป็นต้น
“การสร้างหลักสูตรต้านทุจริตศึกษา เป็นเครื่องมือในการปรับวิธีคิดให้คนไทยทุกกลุ่มเป้าหมาย คิดแยกแยะผลประโยชน์ส่วนตัวและประโยชน์ส่วนรวม มีความอายและไม่ทนต่อการทุจริตทุกรูปแบบ ซึ่งปัจจุบันเป็นรายวิชาการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีการฝึกอบรมในหน่วยงานทหารและตำรวจ ทั้งนี้เชื่อว่ากลไกในการป้องกันและป้องปรามการทุจริตในทุกภาคส่วน รวมทั้งกลไกการศึกษาและศาสนาในการปลูกฝังวิธีคิดและจิตสำนึกต้านทุจริต จะสร้างความเข้มแข็งของสังคม ชุมชน และครอบครัวได้ และความเข้มแข็งนี้จะทำให้กับดักคอร์รัปชันไม่มีอิทธิพลอิทธิฤทธิ์อีกต่อไป” พล.ต.อ.วัชรพล กล่าว.-สำนักข่าวไทย.