สภาฯ ผ่านวาระ 2 “งบกลาโหม” ปรับลด 3,226 ล้าน

รัฐสภา 18 ส.ค. – สภาฯ ผ่านวาระ 2 งบประมาณ ก.กลาโหม ด้วยคะแนน 226 ต่อ 123 เสียง ปรับลด 3,226 ล้านบาท จากวงเงินที่ตั้งไว้ 95,980 ล้านบาท ก่อนปิดประชุม 20.15 น. โดยจะพิจารณาต่อมาตรา 9 ในส่วนของ ก.คลัง พรุ่งนี้


การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท วาระที่ 2-3

ช่วงเย็นเข้าสู่การพิจารณามาตรา 8 งบประมาณกระทรวงกลาโหม ที่กรรมาธิการปรับลดทั้งสิ้น 3,226 ล้านบาท จากวงเงินที่ตั้งไว้ 95,980 ล้านบาท


โดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายขอสงวนคำแปรญัตติ ปรับลดงบฯ เป็น 26,733 ล้านบาท เนื่องจากกองทัพไม่ควรจัดซื้ออาวุธในวันที่ประชาชนล้มตาย และไม่ควรซื้อยุทโธปกรณ์ในวันที่ประชาชนต้องการวัคซีน

นายพิธา กล่าวว่า แม้กองทัพเรือได้ถอนเรือดำน้ำออกจากงบประมาณปี 65 แล้ว แต่ยังมีงบฯ สิ่งก่อสร้างและยุทโธปกรณ์สนับสนุนเรือดำน้ำ และอาวุธใหญ่อีกจำนวนมาก ทั้งท่าจอดเรือดำน้ำ โรงซ่อมเรือดำน้ำ คลังเก็บตอร์ปิโด เรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบก ระบบสื่อสารของเรือดำน้ำ และโดรนไร้คนขับ เป็นงบผูกพันกว่า 14,000 ล้านบาท เป็นงบฯ ปี 65 ประมาณ 3,000 ล้านบาท ตัวอย่างของอาวุธที่ควรตัดงบฯ คือ โครงการโดรนขนาดใหญ่ของกองทัพเรือ มีมูลค่าถึง 4,100 ล้านบาท ซึ่งมี 3 เหตุผลที่ตนต้องสงวนคำแปรญัตติ คือ

นายพิธา กล่าวว่า จากเหตุผลทั้ง 3 ข้อ เราจึงเห็นกองทัพใหญ่ๆ ระดับโลก เช่น กองทัพสหรัฐอเมริกา และกองทัพอินเดีย เริ่มพิจารณาลดการใช้โดรนขนาดใหญ่ลง ซึ่งสถิติหลอกกันไม่ได้ จะเห็นว่าโดรนขนาดใหญ่ที่กองทัพเรือต้องการซื้อ มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุในปี 2001-2014 ที่สูงมาก เมื่อดูตัวเลขโดรนเหล่านี้ที่ถูกซื้อมา 100 ลำ ตกถึง 48 ลำ ตามข้อมูลของหนังสือพิมพ์ระดับโลก พบว่าโดรน 48% ตกด้วยอุบัติเหตุ ไม่ได้ตกเพราะมีภาวะสงคราม แต่ตกด้วยตัวของโดรนเอง


ดังนั้น จึงเห็นว่า กองทัพอากาศในต่างประเทศที่ทบทวนการจัดซื้อโดรนขนาดใหญ่ เนื่องจากมีราคาสูง และเกิดอุบัติเหตุตกง่าย ไม่สามารถใช้ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งได้จริง กองทัพสหรัฐจึงลดการใช้โดรน โดยให้เหตุผลว่า แพงเกินไป และตกง่าย กองทัพอากาศอินเดียทบทวนการซื้อโดรน เพราะเชื่อว่าไม่สามารถใช้ในพื้นที่ขัดแย้งได้

นายพิธา กล่าวว่า การกระทำของกองทัพเรือ นอกจากจะผิดที่ ผิดเวลา ผิดกาลเทศะ ยังสวนกับทิศทางความมั่นคงระดับโลก ตนจึงขอตัดงบประมาณจำนวนดังกล่าว

ขณะที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ กรรมาธิการสัดส่วนพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งขอสงวนความเห็นเช่นกัน อภิปรายว่า งบประมาณเหล่าทัพบางส่วนน่าจะปรับลดลงได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทยก็คาดการณ์การใช้จ่ายเงินแผ่นดิน จำเป็นต้องกู้เพิ่ม หรือตัวเลขจีดีพีที่ปรับลดลง ถ้าจีดีพีลดลง ก็หมายความว่ารายได้ของประเทศที่จัดเก็บผ่าน 3 กรมหลัก ก็จะลดลงในสัดส่วนเดียวกัน เมื่อลดลง สัดส่วนงบขาดดุล 700,000 ล้านบาท ก็อาจจะไม่เพียงพอ คงจะต้องปรับลดงบประมาณแต่ละรายการลง แต่ก็ขึ้นกับมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

แต่มีรายการหนึ่งที่เห็นว่าไม่รู้จะตั้งมาทำไม คือ งบรายจ่ายอื่นของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ค่าใช้จ่ายในการดำรงสภาพกำลังกองทัพ 2,820,700 บาท มีอยู่ 3 รายการ รายการที่ขอปรับลดมีรายการเดียว เพราะน่าจะเป็นตัวเลขที่ไม่มีความสำคัญ คือ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต กองทัพทั้งกองทัพ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตั้งรายการนี้ 47,900 บาท ไม่ทราบว่าตั้งมาทำไม นัยสำคัญแทบจะไม่มี จะปราบปรามการทุจริตได้อย่างไร ซึ่งการตั้งงบประมาณแผ่นดินต้องมีความสำคัญ จึงเสนอตัดงบฯ ในส่วนนี้

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ในส่วนของงบฯ กระทรวงกลาโหม เมื่อเข้าไปดูในรายละเอียดการจัดซื้อชุดเครื่องสนามของกองทัพบก ถ้าดูในรายละเอียดราคากลางที่วางไว้สูงถึงชุดละ 14,858 บาท ตามสามัญสำนึกของทุกคน ชุดเครื่องสนามที่จะมีการจัดซื้อแบบรวมแพ็ก 12 รายการ มีอะไรบ้าง วันนี้ตนจึงขอเชิญชวนทุกคนไปชอปปิ้งทีละรายการ รายการที่ 1 คือ เสื้อกันฝน ซึ่งตนได้ดูจากร้านค้าออนไลน์ เสื้อกันฝนราคา 189 บาท เป้สนามเล็ก 440 บาท กระเป๋าอเนกประสงค์ 350 บาท กระเป๋าอเนกประสงค์ใส่ซองกระสุน 149 บาท ถุงผ้าสนาม 440 บาท กระโจมบุคคล หรือเต็นท์ทหาร 1,530 บาท กระติกน้ำ ทบ. 310 บาท เข็มขัดสนาม 450 บาท พลั่วสนาม 590 บาท สายโยงเข็มขัดสนาม 550 บาท หม้อสนาม 650 บาท และเป้หลังครบชุด 960 บาท

นายวิโรจน์ กล่าวว่า ทั้งหมดนี้ 12 รายการ ซึ่งรวมแล้วราคาชุดละ 14,858 บาท ทั้งที่ชาวบ้านตั้งราคากลางไว้ 6,775 บาท แต่กองทัพจะซื้อถึง 2,429 ชุด กองทัพบกจึงตั้งงบฯ ทั้งหมด 36 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หากเป็นมนุษย์ทั่วไปจะจ่ายในราคาชุดละ 6,775 บาท ถ้าซื้อจำนวน 2,429 ชุด จะใช้เงินเพียงแค่ 16,456,475 บาทเท่านั้น แต่กลับตั้งงบฯ ถึง 36 ล้านบาท ตนจึงต้องชวนกองทัพบกเข้าโครงการ “ช้อปดีมีคืน” ของรัฐบาล เพราะถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะไม่ใช่ช้อปดีมีคืน อาจจะเป็นช้อปดีมีทอน และถ้ายังให้ช้อปอย่างนี้ อาจจะเป็นช้อปมั่วมีคุก

นายวิโรจน์ กล่าวว่า “ช้อปดีมีคืน คืนให้ใคร จะคืนให้ประชาชน ด้วยการปรับลดงบประมาณลงมาเยี่ยงปุถุชนคนหนึ่ง ให้เหลือเพียง 16.5 ล้านบาท พอแล้ว จึงขอปรับลดงบฯ ลง 19.6 ล้านบาท ผมขอใช้เวลาสั้นๆ กราบเรียนไปยังนายกฯ ที่เป็น รมว.กลาโหม ด้วย ตอนนี้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัสขนาดไหน ผมคิดว่า นายกฯ แม้ว่าจะเวิร์กฟอร์มโฮมอยู่ ก็คิดว่าท่านรับรู้ว่ามีเด็กกี่คนที่ต้องกำพร้า สูญเสียพ่อแม่จากโควิด มีกี่คนที่เสียโอกาสไม่ได้เจอพ่อแม่เขาอีก เพราะได้จากไปเพราะโควิด ประชาชนที่ต้องหาเตียง รอยา บางคนที่ยังอยู่ในนี้และข้างนอกสภาฯ ไม่ได้สบายใจ คือ รอติด พอรอติดแล้วก็รอเตียง พอรอเตียงก็รอยา พอรอยาก็รอตาย พอรอตายแล้วยังต้องรอเตาอีก ผมคิดว่าสิ่งที่ประชาชนต้องการที่สุดในวันนี้ คือ สามัญสำนึกในการใช้จ่ายงบประมาณจากกองทัพ และกระทรวงกลาโหม ซึ่งวันนี้ประชาชนไม่ได้เห็นตรงนั้นเลย อย่าเอางบฯ ประชาชนไปผลาญ ด้วยการนำน้ำยามาพ่นตามโขดหิน เพื่อสร้างภาพเลย เพราะไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ดังนั้น ควรปรับลดงบฯ ไม่จำเป็น ชุดเครื่องสนามแบบนี้ ผมตั้งคำถามทันทีว่า ชุดเครื่องสนามหรือเครื่องสวาปามกันแน่ และไม่ควรจะเรียกว่าชุดเครื่องสนาม แต่ควรจะถูกเรียกว่า ชุดจานชาม ช้อนส้อม ตะเกียบ เพราะดูเหมือนว่าจะไม่ได้เอาไว้ฝึก แต่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเอาไว้กิน ดังนั้น ขอปรับลดงบฯ 19.6 ล้านบาท”

ด้านนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ อภิปรายอย่างดุเดือดถึงงบประมาณกระทรวงกลาโหม ว่า มีคำขอมาตั้งแต่แรกทั้งสิ้น 203,281 ล้านบาท จากนั้นยกตัวอย่างถึงงบฯ กองทัพบกที่ขอไป เป็นโครงการจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ ของบฯ 921 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ 2564 ผูกพันปี 2565 จำนวน 368 ล้านบาท ปี 2566 อีก 368 ล้านบาท แต่เมื่อสภาฯ อนุมัติงบฯ ให้ไปซื้อรถใหม่เอาไว้ลากรถถัง เพื่อทดแทนรถ M35 รวม 169 คัน ตกคันละ 5,400,000 บาท แต่เมื่อได้งบฯ กลับไม่ดำเนินการ แต่เอาไปเปลี่ยนแปลงเป็นงบฯ ซ่อมรถ M35 ค่าซ่อมคันละ 2,500,000 บาท ใช้งานมากว่า 40 ปี ขณะนี้หมดสภาพแล้ว จึงต้องขอคำตอบจากกรรมาธิการเสียงส่วนใหญ่ว่า ผ่านงบฯ เช่นนี้ได้อย่างไร

ส่วนงบฯ กองทัพเรือ ในสถานการณ์ท่ามกลางความอดอยากของประชาชนขณะนี้ ทำไมจึงไม่เจรจาที่จะเลื่อนงวดงานเรือดำน้ำออกไป ยังไม่จำเป็นที่จะต้องจ่าย แล้วตอนนี้ก็ไม่สามารถตรวจรับหรือฝึกได้ รวมถึงเรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบกขนาดใหญ่ 6,200 ล้านบาท มีข้อสงสัยและอยากได้คำตอบ เพราะเรือลำนี้มีแต่เรือเปล่า ไม่มีอาวุธปืน ระบบอำนวยการรบ แล้วจะไปใช้รบได้อย่างไร อีกทั้งกองทัพเรือถูกปรับลดงบฯ ไปเพียง 8,400,000 บาท ส่วนเรือดำน้ำ 2 ลำ ถอนไปเอง ไม่เกี่ยวกับที่กรรมาธิการปรับลด นอกจากนี้ ยังมีเรื่องโดรนไร้คนขับประจำชายฝั่งจากประเทศจีน ลำละ 1,400 ล้านบาท ซื้อ 3 ลำ

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ท่ามกลางความอดอยากหิวโหยของประชาชน วัคซีนก็ไม่มี ประชาชนเดือดร้อน คุณซื้อโดรนเนี่ย มันฆ่าโควิดได้ไหม กองทัพเรือซื้อโดรนจะไปรบกับใคร กรรมาธิการต้องตอบผมว่า คุณอนุมัติให้เขาไปซื้อได้อย่างไร แล้ววันที่ยกมือ กรรมาธิการฟากฝ่ายค้านทั้งหมดวอล์กเอาต์ มีเฉพาะกรรมาธิการงบประมาณในซีกรัฐบาล 36 คน ที่ยกมือให้ ชะลอตัดออกไปก่อนได้ไหม และยังมีโดรนภายในประเทศ ลำละ 570 ล้านบาท ที่กองทัพเรือขอไว้ และกรรมาธิการไม่มีการปรับลดเลย ผมต้องขอคำตอบว่า มีเหตุผลความจำเป็นอะไรที่ให้กองทัพเรือไปซื้ออาวุธมากมายในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤติโควิดอย่างนี้ ถ้ากรรมาธิการตอบไม่ได้ ผมก็ต้องขอเรียกร้องให้วันอาทิตย์นี้ ให้คาร์ม็อบมีคนออกมาไล่เยอะๆ จะได้ไปเร็วๆ

อย่างไรก็ตาม นายยุทธพงศ์ ทิ้งท้ายว่า ที่ขอปรับลดงบกลาโหม 10% หรือประมาณ 20,000 ล้านบาท เพราะเห็นว่าเป็นรายการที่ไม่เกิดประโยชน์กับประเทศชาติในช่วงวิกฤติ ต้องปรับลดงบฯ ในการจัดซื้ออาวุธ เพราะอาวุธพวกนี้ฆ่าโควิดไม่ได้

ทั้งนี้ ที่ประชุมใช้เวลาอภิปรายงบฯ กระทรวงกลาโหม ประมาณ 4 ชั่วโมง ก่อนจะมีมติให้ความเห็นชอบรายมาตรา วาระ 2 ด้วยคะแนน 226 เสียง ไม่เห็นด้วย 123 เสียง

ที่ประชุมปิดการประชุมในเวลา 20.15 น. โดยจะมีการพิจารณาต่อมาตรา 9 ในส่วนของกระทรวงการคลัง ในวันพรุ่งนี้ (19 ส.ค.). – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ศาล รธน. นัดชี้ชะตา “แพทองธาร” คดีคลิปเสียง “ฮุนเซน” 29 ส.ค.นี้

ศาล รธน. 13 ส.ค.-ศาลรัฐธรรมนูญ นัดชี้ชะตา “แพทองธาร” คดีคลิปเสียง “ฮุนเซน” 29 ส.ค.นี้ เปิดให้เจ้าตัวเข้าไต่สวนพร้อมเลขาฯ สมช. 21 ส.ค. ไม่มาถือว่าไม่ติดใจ ศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า กรณีปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่ง น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้อง แถลงข่าวยอมรับว่า เป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จฮุน เซน จริง แม้ น.ส.แพทองธาร ผู้ถูกร้อง แถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว โดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวล เพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า น.ส.แพทองธาร แสดงออกถึงความนิ่งเฉยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการ รวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 […]

ทบ.แจงปมขอรับบริจาคลวดหนาม จำเป็นต้องใช้เร่งด่วน

กองทัพบก 13 ส.ค.- โฆษก ทบ. แจงกองทัพภาค 2 ขอรับบริจาค “ลวดหนามหีบเพลง” เหตุจำเป็นต้องใช้เร่งด่วน เพื่อความปลอดภัยกำลังพล สกัดการลักลอบเข้าพื้นที่ของทหารกัมพูชา ชี้หากรอกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ใช้เวลา 1 เดือน ย้ำรัฐบาล-กองทัพ มีงบประมาณเพียงพอ พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ขอให้กองทัพภาคที่2 หยุดรับบริจาคลวดหนามหีบเพลงจากประชาชน และให้มาขอกับรัฐบาลว่า ยืนยันรัฐบาลและกองทัพมีงบประมาณเพียงพอ แต่ติดขัดในกระบวนการจัดซื้อตามกฎหมาย ซึ่งต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 เดือน และหากไม่ปฏิบัติตามระเบียบ อาจทำให้ผู้จัดซื้อมีความผิด ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องใช้ลวดหนามหีบเพลงทันที โดยเฉพาะ 4 จังหวัดชายแดน “อุบลฯ-ศรีสะเกษ-สุรินทร์-บุรีรัมย์” จึงต้องขอรับการสนับสนุนจากประชาชน “การจัดซื้อต้องเป็นไปตามระเบียบราชการ แต่วิธีจัดหาใช้แบบพิเศษได้ แต่ก็ใช้เวลาเป็นเดือน ที่สำคัญ กรณีลวดหีบเพลงสเปกที่ทหารใช้ ไม่มีในท้องตลาดต้องสั่งผลิตจึงใช้เวลานานขึ้นไปอีก ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องของงบประมาณ งบประมาณมีอย่างเพียงพอ มีแค่เรื่องเวลา” โฆษก ทบ. กล่าวและว่า […]

โรงเรียน-โรงพยาบาลในอุบลฯ เปิดวันแรก หลังเหตุปะทะไทย-กัมพูชา

13 ส.ค. – ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ (13 ส.ค.) ยังปกติ ชาวบ้านติดชายแดนต่างวิตก หวั่นเกิดการปะทะ จึงเก็บสัมภาระเตรียมพร้อมหากต้องอพยพออกจากพื้นที่ ส่วนโรงเรียน-โรงพยาบาล ใน จ.อุบลราชธานี เปิดวันแรก ทำเอาชาวบ้านอยู่ไม่ได้ หลังมีกระแสข่าวว่าจะเกิดการยิงกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนชาวบ้านต้องขนของอพยพออกจากบ้านกลางดึก เพื่อมาตั้งหลักในตัว อ.กันทรลักษ์ แต่หลังจากแน่ใจว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นจึงเดินทางกลับเข้าบ้านเรือน แต่ยังมีบางส่วนที่ยังไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ ออกไปพักบ้านญาติพี่น้องต่างอำเภอ สำหรับสถานที่ราชการในตัว อ.กันทรลักษ์ วันนี้ยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ส่วนโรงเรียนบางแห่งประกาศให้เรียนทางออนไลน์แทน เพื่อความปลอดภัย โรงเรียนชายแดน จ.สุรินทร์ ปิดต่อ ให้เรียนออนไลน์เช่นเดียวกับ จ.สุรินทร์ โรงเรียนชายแดนยังปิดต่อ และให้เรียนออนไลน์แทน เพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนผู้ปกครองกังวลถ้ายังเปิดเรียนในช่วงสถานการณ์ยังไม่สงบและไม่ปลอดภัย 100% ส่วนในพื้นที่ อ.พนมดงรัก โรงเรียนประถมฯ บางโรงประกาศให้มีการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ช่วงวันที่ 13-15 สิงหาคมนี้ และมีบางโรงเรียนที่กลับมาเปิดเรียนตามปกติแล้ว แต่ไม่บังคับว่านักเรียนต้องมาเรียนทุกคน โดยมีการแจ้งใน LINE กลุ่มผู้ปกครองว่าหากผู้ปกครองท่านใดยังมีความกังวลใจก็อนุญาตให้เด็กลาได้ ส่วนชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ เช้านี้ […]

South Korea Leader and wife at Presidential plane Apr 2023

เกาหลีใต้จับอดีตสตรีหมายเลข 1

โซล 13 ส.ค.- นางคิม คอน ฮี อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ ถูกควบคุมตัวตามที่ศาลออกหมายจับเมื่อค่ำวานนี้ หลังจากอัยการยื่นขอหมายจับเพราะเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวนในคดีที่ถูกกล่าวหาหลายคดี นางคิม ซึ่งจะมีอายุครบ 53 ปีในเดือนกันยายน เป็นอดีตสตรีหมายเลข 1 คนแรกของเกาหลีใต้ที่ถูกจับกุม ขณะที่สามีของเธอ คือ อดีตประธานาธิบดียุน ซอก ยอล วัย 64 ปี กำลังถูกคุมขังระหว่างรอการพิจารณาคดี หลังจากถูกถอดถอนจากตำแหน่งกรณีประกาศกฎอัยการศึกเมื่อปลายปี 2567 ก่อนหน้านี้ในวันเดียวกันนางคิมได้โค้งคำนับและไม่ตอบคำถามผู้สื่อข่าวขณะเดินทางถึงศาล จากนั้นไปรอฟังคำตัดสินที่สถานกักขังในกรุงโซลตามธรรมเนียมปฏิบัติของเกาหลีใต้ โฆษกคณะอัยการพิเศษที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อต้นเดือนมิถุนายนแถลงว่า อัยการยื่นขอหมายจับนางคิม เนื่องจากเกรงว่าเธอจะทำลายหลักฐานและแทรกแซงการสอบสวน สำนักข่าวยอนฮับของทางการเกาหลีใต้รายงานว่า ศาลอนุมัติหมายจับตามคำแถลงเรื่องเธอมีความเสี่ยงที่จะทำลายหลักฐาน อดีตสตรีหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ถูกตั้งข้อหาหลายคดี ตั้งแต่การปั่นหุ้นไปจนถึงการรับสินบนและการใช้อิทธิพลแทรกแซงอย่างผิดกฎหมายที่พัวพันกับเจ้าของธุรกิจ บุคคลทางศาสนา และผู้มีอิทธิพลทางการเมือง เธอถูกกล่าวหาว่า ทำผิดกฎหมายเรื่องสร้อยคอประดับจี้ยี่ห้อหรูที่สวมไปร่วมการประชุมสุดยอดองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ที่สเปน พร้อมกับสามีในปี 2565 เนื่องจากไม่ได้แจ้งรายการทรัพย์สินจี้ดังกล่าวที่มีข่าวว่าราคาสูงกว่า 60 ล้านวอน (กว่า 1.4 ล้านบาท) เธอให้การกับอัยการว่าเป็นของปลอมที่ซื้อในฮ่องกงเมื่อ […]