นายกฯ โพสต์เฟซบุ๊ก ขอทุกคนอดทนร่วมมือกับมาตรการ

กทม. 20 ก.ค.-นายกฯ โพสต์เฟซบุ๊ก แจงยกระดับคุมเข้มช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะวิกฤติ เชื่อหากล็อกดาวน์ 14 วัน สถานการณ์ควรจะดีขึ้น ขอทุกคนอดทนร่วมมือกับมาตรการในครั้งนี้อย่างเต็มที่

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-o-cha” ว่า นับจนถึงวันนี้ เป็นเวลามากกว่า 1 ปีแล้ว ที่ประเทศของเราและทั่วโลก ต่างต้องสู้กับเชื้อไวรัสโควิด-19 ในวันที่ 25 มีนาคมของปีที่แล้ว ตนได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และบังคับใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยวันนั้นได้กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะวิกฤต ที่หากไม่ประกาศมาตรการเข้มงวด สถานการณ์จะเลวร้ายลง ซึ่งในครั้งนั้น เราสามารถเอาชนะโควิดในยกแรกได้ด้วยความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์ และความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนทุกคนในการทำตามมาตรการของรัฐ จนเรากดยอดผู้ติดเชื้อลงมาจนเหลือศูนย์ได้ในที่สุด และเป็นที่ชื่นชมของทั่วโลกในการควบคุมการแพร่ระบาด จนเราสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่กันได้หลังจากนั้น


แต่เป็นโชคร้ายของชาวโลก ที่ไวรัสโควิดยังไม่หายไปง่ายๆ และกลับกลายพันธุ์ไปสู่สายพันธุ์ที่ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ทั่วโลกจึงถูกคุกคามจากโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้อีกครั้ง แม้แต่ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก และอีกหลายประเทศที่เคยควบคุมสถานการณ์ได้ดี ก็ยังเกิดการระบาดอย่างหนักจนต้องกลับมาประกาศมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย

ในวันนี้ ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ได้เดินทางมาถึงจุดที่เป็น “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ของภาวะวิกฤตอีกครั้ง ต้องเจอกับการแพร่ระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดที่ประเทศไทยเคยเจอมา หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ตนได้ประกาศการล็อกดาวน์ 10 จังหวัด โดยปิดสถานที่และกิจการบางแห่ง ประกาศเคอร์ฟิว และการจำกัดการเดินทาง แต่คณะแพทย์ที่ปรึกษาได้ประเมินแล้วว่าสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังไม่ลดลง กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อจากคนในครอบครัวหรือคนรู้จัก ที่นำเชื้อมาแพร่ในบ้าน นอกจากนี้ ยังมีประชาชนส่วนหนึ่ง ที่กระทำตัวเป็นภาระของส่วนรวม กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและเพิ่มความเสี่ยงให้กับทุกคน ด้วยการรวมตัวกันเล่นการพนัน จับกลุ่มดื่มสุราหรือจัดปาร์ตี้ และจัดกิจกรรมเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ทำให้การแพร่ระบาดยังไม่ลดลงและมีแนวโน้มการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น


ดังนั้น จึงรอช้าไม่ได้ ที่จะต้องยกระดับมาตรการควบคุมโรค เพื่อลดความสูญเสียให้ได้โดยเร็วที่สุด จากข้อเสนอเร่งด่วนของคณะแพทย์ที่ปรึกษาและหน่วยงานต่างๆของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ ศบค. มีมติประกาศล็อกดาวน์ จำกัดการเดินทางในจังหวัดสีแดงเข้มที่เพิ่มขึ้นเป็น 13 จังหวัด และปิดกิจการต่างๆ อย่างน้อย 14 วัน ไม่เช่นนั้น สถานการณ์อาจจะร้ายแรงขึ้นจนยากต่อการควบคุม

ตนต้องขอให้พวกเราทุกคน อดทนกันอีกครั้ง และให้ความร่วมมือกับมาตรการในครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยทราบดีว่าจะต้องมีพี่น้องจำนวนมากที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ และได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ผมทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และได้พยายามหาหนทางในการช่วยทุกท่านมาโดยตลอด ด้วยมาตรการเยียวยาต่างๆ ทั้งการชดเชยการหยุดงาน การจ่ายเงินพิเศษเพิ่ม การลดค่าน้ำค่าไฟ การพักชำระหนี้ การลดค่าเทอม และนโยบายอื่นๆที่จะออกมารองรับมาตรการนี้ ให้ครอบคลุมและทั่วถึง และจะทบทวนนโยบายต่างๆเพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดยิ่งขึ้น ซึ่งในวันนี้ ครม. ได้มีมติเห็นชอบการเยียวยาเพิ่มเติมอีก 3 จังหวัดสีแดงเข้มแล้ว

ในส่วนของการดูแลผู้ป่วย ได้รับฟังข้อคิดเห็น ข้อร้องเรียน และคำถามจากประชาชน และสื่อมวลชนอยู่ตลอดเวลา และได้สั่งการให้แก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งปัญหาตอนนี้นั้นมีมากมายที่ต้องแก้ไข ทั้งการเข้าถึงการตรวจคัดกรอง และการหาซื้อ Antigen Test Kit ได้ในราคาถูก การเพิ่มเตียงโดยเฉพาะในกลุ่มสีแดง การจัดหาอุปกรณ์การรักษา และการเพิ่มบุคลากร การสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ การแก้ปัญหา Call Center การจัดการและดูแลผู้ป่วยที่กักตัวแบบ Home Isolation และ Community Isolation โดยวันนี้ได้รับข่าวดีจากกระทรวงยุติธรรม ว่าผลการใช้สมุนไพรไทย คือฟ้าทะลายโจร และกระชายขาว ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในเรือนจำนั้น ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ป่วยที่รักษาด้วยฟ้าทะลายโจรหรือกระชายขาวนั้น หายป่วยทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และจะเป็นอีกหนึ่งในตัวช่วยแก้สถานการณ์ด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย นอกจากจะช่วยคนไทยที่กักตัวที่บ้านรักษาโควิดได้แล้ว และยังเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับทั้งเกษตรกรและประเทศชาติในการส่งออกไปต่างประเทศได้อีกด้วย


และเรื่องที่สำคัญ ที่รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจในการดำเนินการ ก็คือการจัดหาวัคซีนให้ประชาชนชาวไทยให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เป็นข่าวดีที่ในวันนี้ (20 ก.ค. 64) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามทำสัญญากับบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) และบริษัทไบออนเทค ในการจัดซื้อวัคซีนชนิด mRNA จำนวน 20 ล้านโดส ซึ่งจะสามารถนำส่งได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ และไทยยังมีเป้าหมายที่จะสั่งซื้อเพิ่มอีกอย่างน้อย 50 ล้านโดสในปีหน้า ซึ่งวัคซีนของของไฟเซอร์-ไบออนเทคนี้เข้ามาเสริมแผนกระจายวัคซีนของประเทศไทย ร่วมกับวัคซีนหลักของบริษัทแอสตร้าเซเนกา ที่ไทยได้สั่งซื้อไปแล้วจำนวน 61 ล้านโดส และวัคซีนจากบริษัทอื่นๆ ที่จะทยอยส่งมอบให้ในปลายปีนี้และต้นปีหน้า รวมถึงวัคซีนที่จะผลิตโดยหน่วยงานของไทยอีกอย่างน้อย 3 ชนิด และวัคซีนชนิดใหม่ๆ เช่น Protein Subunit ที่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเจรจาอยู่กับหลายบริษัท และจะสั่งซื้อในทันทีที่เจรจาได้สำเร็จ

นอกจากการสั่งซื้อวัคซีนโดยตรงแล้ว รัฐบาลยังมีการเจรจากับหลายประเทศอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ได้วัคซีนมาเพิ่มเติมผ่านข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเราได้รับวัคซีนซิโนแวคมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว 1 ล้านโดส วัคซีนแอสตรา-เซเนกา 1.05 ล้านโดส จากประเทศญี่ปุ่น และกำลังจะได้วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส จากประเทศสหรัฐอเมริกา และยังมีประเทศอื่นๆเช่น สหราชอาณาจักร และสวิตเซอร์แลนด์ ที่อยู่ในระหว่างการเจรจาข้อตกลงเพื่อขอความช่วยเหลือทางวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้เชื่อได้ว่า ไทยจะยังคงสามารถเดินหน้าฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร ทุกหน่วยงานของรัฐจะไม่ท้อถอย เราจะปรับแผนและใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

สงครามของโลกกับโควิด ยังไม่จบสิ้น การต่อสู้ของไทยในระลอกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้ง 13 จังหวัด ถือเป็นสมรภูมิรบที่เราจะต้องเอาชนะ และยึดพื้นที่คืนกลับมาจากไวรัสร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีประชาชนต้องเจ็บป่วยล้มตายไปมากกว่านี้ แต่การศึกครั้งนี้ รัฐไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยเพียงลำพัง แต่ต้องเกิดจากความสามัคคีกันของคนในชาติ โดยเฉพาะในสมรภูมิทั้ง 13 จังหวัดนี้ ที่จะดำเนินตามมาตรการที่ออกมาอย่างเข้มงวดที่สุด งด ลด เลี่ยงการเดินทาง และการรวมตัวทำกิจกรรม ไม่ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเสี่ยงอันตราย ในขณะเดียวกันก็ต้องมีสติในการรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสาร และช่วยกันสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ด้วยพลังบวกและน้ำใจไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถผ่านวิกฤตในรอบแรกมาได้ ตนและคณะแพทย์เชื่อว่า หากเราล็อกดาวน์ตัวเองได้จริงๆ สถานการณ์ควรจะต้องเห็นผลดีขึ้นภายใน 14 วัน และเราจะผ่านพ้นช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” นี้ไปได้อีกครั้ง

แต่การกำหนดมาตรการใดๆก็ตาม จะไม่มีความหมายเลย หากไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามนั้นได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในทั้ง 13 จังหวัด ได้ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเข้มงวด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 13 จังหวัดได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่กับผู้กระทำผิด นอกจากนั้น ใน 14 วันนี้ ขอให้ผู้บริหารหน่วยงานรัฐทุกแห่งในทั้ง 13 จังหวัด บริหารจัดการให้ทำงานจากบ้าน (Work From Home) ให้ได้ 100% ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริงๆ

และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่จะต้องอดทนเสียสละกันอีกครั้งในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้ง อสม.ทั่วประเทศ ขอสัญญาว่าจะดูแลพวกท่านอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ รัฐบาลและหน่วยงานรัฐทุกแห่ง จะยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเต็มที่ต่อไป ขอเก็บทุกคำวิจารณ์มาเพื่อรับฟังและหาหนทางที่จะดูแลพี่น้องประชาชนทุกท่านอย่างดีที่สุด และจะร่วมเดินเคียงข้างกันไปในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ จนถึงวันเราจะผ่านพ้นไปได้ด้วยกันครับ.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย