พรรคก้าวไกล 15 ก.ค.- “วิโรจน์” จี้ รัฐบาลแจงกรอบทำสัญญาวัคซีน ถามเหตุใดยอมให้แอสตร้าฯ เลื่อนส่งถึงกลางปี 65 ย้ำใช้ภาษีประชาชน 600 ล้าน หนุน“สยามไบโอไซน์” ผลิตวัคซีนเพื่อคนไทย แต่กลับไม่พบเงื่อนไขจำกัดการส่งออกในกรอบสัญญา
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะโฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ต่อการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาล โดยตั้งคำถามถึงการเห็นชอบให้ฉีดวัคซีนสูตรผสมสลับ โดยเข็มแรกเป็นซิโนแวค และเข็มที่ 2 เป็นแอสตร้าเซเนก้า ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอังกฤษที่มีโรงงานผลิตวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเช่นกัน และได้มีการปรับให้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า 2 เข็ม พร้อมขยับเวลาฉีดทั้ง2 เข็มให้เร็วขึ้น เพื่อป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ แตกต่างกับการตัดสินใจรัฐบาลไทยโดยสิ้นเชิง ซึ่งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะไม่รีบร้อนการฉีดวัคซีนที่ยังไม่ได้ทดสอบอย่างครบถ้วน และไม่ยอมเป็นประเทศทดลอง ต้องมั่นใจว่าวัคซีนปลอดภัยจึงจะนำมาใช้กับประชาชน พร้อมตั้งข้อสังเกตเหตุใดไทยได้รับบริจาควัคซีนแอสตร้าเซเนก้าจากญี่ปุ่น 1 ล้าน 5 หมื่นโดส ทั้งที่มีโรงงานผลิต ซึ่งเป็นไปได้หรือไม่ว่าวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าที่ผลิตในไทยจะไม่สามารถส่งมอบได้ตามที่ประกาศไว้ โดยผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ระบุว่า วัคซีนแอสตร้าฯ น่าจะส่งมอบในเดือน ก.ค.ได้เพียง 5-6 ล้านโดส ไม่ถึง 10 ล้านโดสต่อเดือนตามแผน
นายวิโรจน์ ยังเปิดคลิปที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงต่อสภาฯ ถึงการจัดหาวัคซีนแอสตร้าฯว่า ในไตรมาสที่ 3 วัคซีนแอสตร้าฯ จะมีเต็มโรงพยาบาล เต็มแขนคนไทย มีเต็มจนไม่พอเก็บ เพียงพอต่อคนกลุ่มเสี่ยง 63 ล้านโดส อีกทั้งยืนยันว่า วัคซีนหลักไทยคือ แอสตร้าฯ แต่ที่ผ่านมาไทยสั่งวัคซีนซิโนแวคอย่างต่อเนื่อง 19.5 ล้านโดส เป็นการจัดซื้อ 18.5 ล้านโดส และได้รับบริจาค 1 ล้านโดส
ทั้งนี้ เมื่อการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า ไม่เป็นไปตามแผน เหตุใดรัฐบาลจึงไม่เร่งรัดบังคับสัญญาให้ส่งมอบให้ครบ และที่สำคัญที่สุดคือเงื่อนไขที่รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนไปอุดหนุนบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด วงเงิน 600 ล้านบาท ซึ่งจากรายงานมีการเบิกใช้จริง 596.23 ล้านบาท เพื่อเสริมสร้างการผลิตวัคซีนไวรัล เวคเตอร์ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2563 โดยมีใจความที่ระบุ ว่า “การสนับสนุนนี้มีเงื่อนไขจำกัดสิทธิการส่งออกเพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิในการซื้อวัคซีนที่ผลิต โดยผู้ผลิตในไทยเป็นอันดับแรกตามจำนวนความต้องการและราคาวัคซีนที่เหมาะสม และวัคซีนที่เหลือบริษัทแอสตร้าฯ วางเป้าหมายในการกระจายให้กับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ โดยนายอนุทินยืนยันว่าคนไทยจะไม่ถูกตัดคิววัคซีนไปจากมือได้ ดังนั้นเมื่อประชาชนมีความชอบธรรมที่จะได้รับวัคซีนตามแผน เหตุใดรัฐบาลจึงไม่หารือกับบริษัทแอสตร้าฯ ในการจำกัดหรือการปรับลดวัคซีนเพื่อให้คนไทยได้รับวัคซีนตามสิทธิ์ที่พึงได้รับคือ 10 ล้านโดสต่อเดือน ทำไมรัฐบาลจึงไม่รักษาผลประโยชน์ของประชาชน
ล่าสุด นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้สัมภาษณ์ ว่าแนวโน้มการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าฯ ภายในปีนี้ จะถูกขยายออกไปถึงเดือนพฤษภาคม 2565 และยังระบุว่าแอสตร้าฯ จะส่งมอบวัคซีนให้ไทยร้อยละ 40 ของกำลังการผลิต หรือประมาณ 6 ล้านโดสต่อเดือน ซึ่งไม่เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส รวมถึงยังระบุว่าในสัญญาไม่ได้ระบุเรื่องการส่งมอบ
“พรรคก้าวไกลเชื่อว่า ข้อความนี้น่าจะอยู่ในสัญญาบริเวณที่ถมดำที่ปิดบังไว้ไม่ให้ประชาชนทราบ ดังนั้นขอเรียกร้องให้เปิดเผยข้อมูลเเละเอกสารดังกล่าวโดยเร็วที่สุด คำถามคือ ทำไม นายกรัฐมนตรีและนายอนุทิน เเละนายสาธิต ยอมให้มีเลื่อนการจัดส่งวัคซีนได้อย่างไร และเหตุใดจึงไม่พยายามที่จะจำกัดการส่งออกวัคซีน“ นายวิโรจน์ กล่าว
โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวอีกว่า เมื่อมาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับสัญญา ก็พบเรื่องที่น่ากังวล ที่ได้ไปลงนามเมื่อวันที่ 12 ต.ค. 63 ที่ได้ตกลงในเงื่อนไขการส่งออกวัคซีนโดยปราศจากข้อจำกัด ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของการหารือกันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และแอสตร้าฯ ซึ่งแม้ว่าหนังสือฉบับนี้จะไม่มีผลผูกพันธ์กับกฎหมาย เเต่เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องถามว่า ทำไมถึงไปแสดงเจตจำนงในการทำสัญญาอย่างนั้น ไปตกลงให้มีการส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัดได้อย่างไร
“ที่สำคัญ ประโยคที่ระบุว่า “รัฐบาลไทยจะได้รับการส่งมอบวัคซีนเป็นอันดับแรก ที่เหลือจึงจะนำไปส่งออกได้” อยู่ในสัญญาหรือไม่ และสัญญาที่ได้รับมอบมาในตอนนี้ คือ สัญญาวัคซีน 26 ล้านโดส แล้วอีก 35 ล้านโดส นั้นอยู่ในสัญญาฉบับไหน หรืออยู่ในส่วนที่ถูกถมดำตรงไหน“ นายวิโรจน์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่าที่ นายสาธิต ระบุว่าแอสตร้าฯ อาจจะไม่สามารถส่งครบตามกำหนด คือภายในเดือนธันวาคม 2564 ครบ 61 ล้านโดส เเต่อาจจะเลื่อนเป็นเดือนพฤษภาคม 2565 กรณีนี้มีกฎหมายใดบ้างที่ใช้ควบคุม หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า มี พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน แต่นายสาธิต ก็ระบุเช่นกันว่า การใช้กฎหมายอาจจะได้ผลหรือไม่ได้ผลก็ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงข้อความในหนังสือที่รัฐบาลตกลงไว้เเต่เเรก เเละต้องถามย้อนกลับว่าหนังสือดังกล่าว มีผลผูกพันกับรัฐบาลหรือไม่ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จริง อาจจะต้องถามย้อนไปยังแอสตร้าฯประเทศไทย ให้ชี้เเจงถึงสัญญาที่ทำไว้กับรัฐบาล และหากรัฐบาลรู้ทั้งรู้ว่าทำสัญญาเเล้วมีผลผูกพันตามมา รัฐบาลต้องรับผิดชอบ และจะต้องชี้แจงและมีคำตอบให้ประชาชนต่อกรณีที่เกิดขึ้น.-สำนักข่าวไทย