กทม. 12 ก.ค.- “ก้าวไกล” แฉ พรรคใหญ่ สอดไส้แก้รัฐธรรมนูญ อัด ส.ส.ไม่มีกระดูกสันหลัง ย้ำร่าง ปชป.แย่ที่สุด
นายธีรัจชัย พันธุมาศ และนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงถึงความคืบหน้าและจุดยืนของพรรคก้าวไกลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยนายธีรัจชัย กล่าวว่า ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) แก้รัฐธรรมนูญขณะนี้เป็นการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคประชาธิปัตย์ในมาตรา 83 และ91 ที่เกี่ยวกับจำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต 400 คน กับแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน และเรื่องเกี่ยวกับวิธีการคำนวณสัดส่วน ไม่ใช่การแก้ไขระบบเลือกตั้งทั้งระบบ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงแปรญัตติ ซึ่งวันที่ 10 กรกฎาคมได้แปรญัตติเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีผู้แปรญัตติทั้งหมด 48 ฉบับ มี ส.ส.และ ส.ว.แปรญัตติ 54 คน เรื่องที่น่าสนใจ คือ ในการแปรญัตติมีสมาชิกนำร่างที่ตกไปแล้ว ทั้งหลักการและเหตุผล คือ ร่างของพรรคพลังประชารัฐ และร่างของพรรคเพื่อไทย เข้ามาแปรญัตติด้วย การที่สภาไม่รับหลักการในวาระที่ 1 และพยายามนำมาใส่ในการแปรญัตตินั้น ทั้งๆ ที่ร่างของพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขแค่มาตรา 83 และ 91 แต่พยายามนำร่างที่แก้ไข 8 มาตราเข้ามารวมด้วยอีก ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาเกี่ยวกับหลักความมั่นคงของนิติบัญญัติ
นายธีรัจชัย กล่าวว่า ในข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อที่ 14 เกี่ยวกับหลักการแปรญัตติในวาระที่ 1 จะต้องเป็นหลักการที่ชัดเจนแน่นอน จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่การที่มีส.ส.บางส่วนพยายามนำร่างที่ตกไปแล้วเข้ามา พรรคก้าวไกลเห็นว่าไม่ควรทำเช่นนั้นและไม่น่าจะชอบธรรม เมื่อรัฐสภาไม่รับหลักการในวาระที่ 1 ก็ควรไปยื่นเข้ามาใหม่เพื่อเสนอกับรัฐสภาอีกครั้ง ไม่ใช่นำมายัดเยียดในร่างที่ไม่ได้มีหลักการเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีสมาชิกบางส่วนที่ค่อนข้างจะเป็นพรรคใหญ่ของกมธ.ชุดนี้ พยายามผลักดันเพื่อให้มีการเลือกตั้งในรูปแบบที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักความมั่นคงของกระบวนการนิติบัญญัติ ซึ่งเห็นว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะผ่านไปได้ แต่เนื่องจากมีการเลื่อนการประชุมกมธ.ไปเป็นวันที่ 27 และ 30 กรกฎาคม ซึ่งก็คงจะต้องมีการพิจารณาว่าร่างที่ทางฝ่ายพรรคการเมืองขนาดใหญ่ 2 พรรคพยายามแปรญัตติเข้ามาจะสามารถดำเนินการต่อได้หรือไม่ การที่จะแปรญัตติโดยอ้างข้อบังคับข้อที่ 154 ที่ระบุว่าสามารถแก้ไขเพิ่มเติมในมาตราที่เกี่ยวข้องกับหลักการได้ แต่ต้องไม่ใช่แก้ไขในจำนวนมากเช่นนี้ หลักความจำเป็นและสมควรแก่เหตุตามหลักกฎหมายมหาชนเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณา การเพิ่มมาตราอื่นต้องคำนึงถึงความจำเป็น คือ แก้ไขจำนวนน้อยเท่านั้น และต้องมีความเหมาะสม การจะแก้ไขเพิ่มเป็น 8 มาตรา ตนคิดว่าน่าจะไม่ชอบ หากทำเช่นนี้ต่อไปหลักความมั่นคงของนิติบัญญัติของประเทศจะเสียไป พรรคก้าวไกลจะยืนหยัดและจะใช้เหตุผลทางด้านหลักกฎหมาย หลักวิชาการ และประวัติศาสตร์ต่างๆ ขึ้นมาโต้แย้ง เพื่อวางหลักบ้านเมืองให้มั่นคง และไม่ให้ร่างที่ตกไปแล้วยัดเยียดกลับเข้ามาแก้ไขอีก
ด้านนายรังสิมันต์ กล่าวว่า ท่ามกลางวิกฤตโควิด มีวิกฤตเรื้อรัง คือ วิกฤตรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญสามารถยุบพรรคการเมืองได้ องค์กรอิสระไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มที่ กกต.มีปัญหาบัตรเขย่ง เมื่อเจอภัยต่างๆ ที่เข้ามา รัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพก็ไม่สามารถบริหารจัดการได้ เมื่อประชาชนไม่ต้องการรัฐบาลนี้แล้วก็ไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ รัฐธรรมนูญแบบนี้ได้กำหนดไว้แล้วว่าถ้ามีรัฐธรรมนูญนี้จะต้องมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเสมอ ฉะนั้น สิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ออกจากวิกฤตที่กำลังเผชิญอยู่ แต่การแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้งที่ผ่านมาไม่ได้นำไปสู่การแก้ไขวิกฤตที่แท้จริง ฉบับที่เป็นการแก้ไขใจกลางของปัญหา เช่น การยกเลิกอำนาจ ส.ว.ในการเลือกนายกรัฐมนตรี ก็ถูกตีตกไป แต่ร่างที่ผ่านการรับหลักการมีแค่ฉบับเดียว คือ ร่างที่ว่าด้วยระบบเลือกตั้ง ซึ่งเป็นร่างที่พิกลพิการที่สุด คำถามคือเจตนาของการผ่านร่างฉบับนี้เพื่ออะไร วิกฤตสำคัญตอนนี้มีหลายเรื่อง แต่เรื่องที่กำลังทำในการแก้รัฐธรรมนูญตอนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งหรือส่วนสำคัญในการแก้วิกฤต พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอดว่าหากจะมีการแก้ไขระบบเลือกตั้ง ควรให้มีการเลือก ส.ส.ร. ขึ้นมา ใครอยากได้ระบบเลือกตั้งแบบไหนให้หาเสียงกับประชาชน เราก็จะได้ระบบเลือกตั้งที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ตอนนี้รัฐบาลกำลังจะไปไม่ได้ก็มีความพยายามในการเกียะเซียะ ดัดแปลงพันธุกรรมทำให้เกิดรัฐธรรมนูญกลายพันธุ์ เพื่อให้สามารถสถาปนาอำนาจของตัวเองขึ้นมาแล้วอยู่ในภายใต้โครงสร้างการเมืองต่อไปในอนาคต และพยายามสร้างคำอธิบายว่าเราแก้รัฐธรรมนูญแล้ว
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนสรุปการแก้รัฐธรรมนูญได้ 2 คำ คือ 1.สอดไส้ และ 2.ไม่มีกระดูกสันหลัง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ว่าด้วยระบบเลือกตั้งฉบับของพรรคประชาธิปัตย์แย่ที่สุด เพราะไม่มีการพูดถึงรายละเอียด แต่ในชั้นกมธ.กลับมีความพยายามในการแก้ร่างของพรรคประชาธิปัตย์ให้เป็นร่างพรรคเพื่อไทยและพรรคพลังประชารัฐรวมกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเราจะพิจารณาในวาระที่ 1 กันไปทำไม หากสุดท้ายนำ 2 ร่างที่ตกไปแล้วกลับเข้ามา เราไม่จำเป็นต้องมีวาระที่ 1 เลย นึกจะแก้อะไรก็แก้กันไปเลย หากทำกันเช่นนี้ สภา หรือสิ่งที่เคยทำกันมาก็เสียหายกันไปหมด ความจริงแล้ววันพรุ่งนี้จะมีการตัดสินกันในกมธ.ว่าจะมีขอบเขตในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้แค่ไหน แต่มีการเลื่อนประชุมออกไปเพราะสถานการณ์โควิด แต่ความพยายามในการสอดไส้เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญในแบบที่ตัวเองต้องการยังคงมีอยู่.-สำนักข่าวไทย