กรุงเทพฯ 30 มิ.ย.-“วัฒนา” จี้รัฐบาลจัดหาวัคซีนมีคุณภาพและตรงความต้องการประชาชน หากเพิกเฉยอาจจะถูกดำเนินคดีในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
นายวัฒนา เมืองสุข ประธานคณะกรรมการกฎหมายและการเมืองพรรคไทยสร้างไทย โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19ของรัฐบาลในขณะนี้ว่า ข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับกันในขณะนี้คือ ประชาชนจำนวนมากซึ่งรวมถึงบุคลากรทางการแพทย์มีความไม่เชื่อมั่นในวัคซีนที่รัฐบาลจัดให้ว่า จะมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะป้องกันหรือรักษาชีวิตของตนจากโควิด-19 ได้ จึงเกิดการเรียกร้องให้รัฐบาลจัดหาวัคซีนที่เชื่อว่ามีประสิทธิภาพมากกว่ามาให้ประชาชน และรัฐธรรมนูญมาตรา 55 วรรคแรกเขียนว่า “รัฐต้องดำเนินการให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง” ประกอบกับเงินที่ใช้ซื้อวัคซีนมาจากภาษีของประชาชน โดยรัฐมีหน้าที่จัดซื้อจัดหา ประชาชนในฐานะผู้จ่ายเงินจึงควรมีสิทธิที่จะเลือกสินค้าหรืออย่างน้อยก็ต้องพอใจในคุณภาพของสินค้าที่ตนเองเป็นผู้จ่ายเงิน ไม่ใช่ถูกยัดเยียดให้ยอมรับเหมือนเป็นการสงเคราะห์หรือเป็นการให้ทานแบบที่กำลังเกิดขึ้น
“รัฐและผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องพึงสำนึกว่าการจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพให้กับประชาชนเป็น “หน้าที่” จึงต้องทำให้ดีและสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินและอำนาจให้มากที่สุด หาไม่แล้วผู้ที่มีหน้าที่จัดหาวัคซีนอาจจะถูกดำเนินคดีในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ผลที่เป็นเช่นนี้เกิดการบริหารแบบอำนาจนิยมโดยมี “รัฐราชการ” เป็นกลไก เราจึงเห็นนายกรัฐมนตรีไม่ต้องสนใจประชาชน เพราะการเป็นนายกฯมิได้มาจากประชาชน แต่มาจากมือของ ส.ว. ที่รัฐธรรมนูญไปให้ นายกฯจึงกล้าพูดเล่นกรณีสั่งห้ามคนทานอาหารในร้านว่า “take me home country road” หรือ “นะจ๊ะ” ทั้งที่อยู่บนสถานการณ์ความเป็นความตายและความเดือดร้อนของประชาชน”นายวัฒนากล่าว
นายวัฒนา กล่าวว่านโยบายสำคัญข้อหนึ่งของพรรคไทยสร้างไทยคือ “การขจัดรัฐราชการ” เพื่อสร้างรัฐประชาชนที่บริหารโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนและทำให้ประชาชนสามารถให้คุณให้โทษกับข้าราชการและนักการเมืองได้ เพราะรัฐราชการที่นอกจากจะเป็นภาระแก่งบประมาณ แต่ไม่เคยเห็นหัวประชาชนแล้ว ยังเป็นตัวฉุดรั้งความเจริญของประเทศอีกด้วย ฐานะทางการคลังของประเทศที่กำลังเข้าสู่ภาวะล้มละลายและสภาพเศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังไม่มีจะกิน คือสัญญาณที่แสดงให้เห็นแล้วว่าประเทศนี้ต้องเปลี่ยนแปลงทั้งวิธีบริหารและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ.- สำนักข่าวไทย