ทำเนียบรัฐบาล 22 มิ.ย.-“อนุชา” เผยนายกฯ รับฟังทุกข้อกังวลเปิดประเทศ 120 วัน ชี้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ เป็นความเห็นร่วมผู้ประกอบการ-ประชาชนในพื้นที่ สั่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์จังหวัด ประเมินสถานการณ์ใกล้ชิด
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ที่พบคลัสเตอร์ใหม่หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ รัฐบาลจะมีการทบทวนการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ในพื้นที่ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้หรือไม่ ว่า จากการประชุม ศบค.สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้พิจารณาแนวทางการเปิดประเทศเพื่อรับนักท่องเที่ยวภายใน 120 วัน ภายใต้ 3 หลักการ คือ การเปิดพื้นที่นำร่อง เช่น ที่จังหวัดภูเก็ตและสุราษฎร์ธานี เป็นความตกลงร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการและประชาชนในพื้นที่ โดยคำนึงถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดในพื้นที่ จำนวนผู้ฉีดวัคซีนและความพร้อมด้านสาธารณสุข โดยจะดำเนินการอย่างเคร่งครัด และจะมีผู้ว่าราชการจังหวัดร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง
“ขณะที่แนวทางเปิดพื้นที่อื่น ๆ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจะหารือร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อหาข้อสรุปของแต่ละพื้นที่ว่ามีความเหมาะสมหรือไม่ ก่อนจะเสนอที่ประชุม ศบค.พิจารณาต่อไป ส่วนเกณฑ์การเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต้องเป็นไปตามมาตรฐานด้านสาธารณสุข เช่น ต้องได้รับการฉีดวัคซีนมาครบโดส ขณะเดียวกันแต่ละจังหวัดจะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุขประจำจังหวัด พิจารณาด้านต่าง ๆ อย่างละเอียดและสอดคล้องกับสถานการณ์แพร่ระบาดในพื้นที่” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
ส่วนกรณีหลายฝ่ายแสดงความห่วงใยต่อนโยบายเปิดประเทศใน 120 วัน อาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบสาธารณสุข นายอนุชา กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับฟังทุกความคิดเห็นและข้อกังวล แต่รัฐบาลมีนโยบายต้องรักษาสมดุลระหว่างด้านเศรษฐกิจ สุขภาพและการแพร่ระบาดของโรค จึงเป็นเหตุผลที่ต้องใช้วิธีการนำร่องในพื้นที่ภูเก็ตก่อน หากพบว่าสิ่งใดที่ทำให้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดขึ้นก็จะได้ปรับปรุงแก้ไข ก่อนนำไปใช้กับพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป
“สำหรับข้อกังวลว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบให้เตียงรักษาพยาบาลไม่เพียงพอ นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีว่าหากเป็นไปได้ ขอให้แต่ละจังหวัดเพิ่มเติมเตียงและปรับโรงพยาบาลสนามให้รองรับผู้ป่วยได้มากขึ้น เช่น โรงพยาบาลสนามสำหรับรองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว ให้ปรับให้สามารถรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองได้ ส่วนโรงพยาบาลสนามที่รองรับผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองให้ปรับให้สามารถรับผู้ป่วยกลุ่มสีแดงเพิ่มขึ้นได้ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกำชับหน่วยงานต่าง ๆ ว่าหากมีความจำเป็นต้องเพิ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้เร่งแจ้งความประสงค์ เพื่อให้รัฐบาลพิจารณาอย่างเร่งด่วน จะได้เพิ่มประสิทธิภาพของโรงพยาบาลในการรักษาผู้ป่วยให้หายได้” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
นายอนุชา กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือแจ้งให้จังหวัดจัดหาวัคซีนให้บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ว่า ทางกระทรวงมหาดไทยชี้แจงแล้ว และข้อปฏิบัติกำหนดว่าองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนที่ประสงค์จะขอรับวัคซีนโควิด-19 ให้กับบุคลากร สามารถแจ้งไปยังคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด หรือหากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ สามารถทำหนังสือขอไปยังอธิบดีกรมควบคุมโรคได้ โดยหาสถานพยาบาลรองรับการฉีดเอง ซึ่งข้อปฏิบัตินี้ภาคเอกชนหลายบริษัทได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง
ส่วนจะทบทวนเรื่องการเปิดภาคเรียนหรือไม่ หรือต้องเพิ่มมาตรการอย่างไร หลังพบการแพร่ระบาดในโรงเรียนหลายแห่งในต่างจังหวัด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว นายกรัฐมนตรีเคยให้นโยบายว่าเมื่อเปิดภาคเรียนและพบปัญหาก็ต้องปิดชั่วคราว และประเมินสถานการณ์ในแต่ละแห่งอีกครั้ง แต่หากสถานที่ใดไม่มีปัญหา ให้ดำเนินการต่อไป
สำหรับเรื่องงบประมาณเกี่ยวกับด้านสาธารณสุข จะสามารถเปิดเผยให้ประชาชนช่วยตรวจสอบได้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า หากประชาชนพบข้อสงสัยหรือมีหลักฐานต่าง ๆ สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษ เพื่อให้ตรวจสอบได้ทุกกรณี ซึ่งในส่วนกลางหรือท้องถิ่นใด หากเข้าข่ายพบความไม่ชอบมาพากล ขอให้ประชาชนเป็นหูเป็นตา ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งเรื่องมายังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาลและนำไปสู่การจับกุมอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรียืนยันเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้และจะดำเนินการโดยไม่ละเว้น.-สำนักข่าวไทย