ทำเนียบรัฐบาล 25 พ.ค.- “ไทยไม่ทน” บุกทำเนียบ จี้ “นายกฯ” ลาออก บอกคนเราต้องรู้จักพอในอำนาจ ด้าน “แรมโบ้ อีสาน” เบี้ยวรับหนังสือ “จตุพร” ตอกกลับขอให้รัก “ประยุทธ์” นานๆเหมือนรัก “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์”
กลุ่มไทยไม่ทน”คณะสามัคคีประชาชนเพื่อประเทศไทย” นำโดย นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 , นายจตุพร พรหมพันธ์ ประธาน นปช. รวมถึงนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อาทิ นายวีระ สมความคิด, นายเมธา มาสขาว, นายไทกร พลสุวรรณ, นางพะเยาว์ อัคฮาด, ส.อ.ณรงค์ชัย อินทรกวี และนายนันทพงษ์ ปานมาศ เดินทางมายื่นหนังสือ ถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้ลาออกจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เนื่องจากการบริหารงานมา 7 ปี ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ได้เลย ทั้งเรื่องการปฏิรูปประเทศที่ล้มเหลว การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติที่ไม่เข้ากับยุคสมัย การสร้างความปรองดองไม่ได้ผล เพราะปัจจุบันความขัดแย้งทางการเมืองยังมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ปัญหาทุจริตคอรัปชั่นก็มีพัฒนาการที่เสื่อมถอย มีปัญหาเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำมาตลอด 7 ปี รัฐบาลใช้งบประมาณแผ่นดิน 20.8 ล้านล้านบาท แต่ตัวเลขคนจนยังพุ่งสูงขึ้น 100% นอกจากนี้พบการละเมิดสถาบัน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ นายกรัฐมนตรี ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ แต่กลับทำให้แย่ไปกว่าเดิม เนื่องจากหลักคิดยังติดกับลักษณะรัฐราชการเพียงลำพัง
ส่วนรัฐธรรมนูญถูกมองว่า ร่างขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ ระบบเลือกตั้งทำให้เกิดความสับสน องค์กรอิสระถูกแทรกแซง ระบบยุติธรรมถูกทำลาย การแก้ปัญหา โควิด-19 ก็ล้มเหลว การฟื้นฟูเยียวยาประเทศเวลานี้จำเป็นที่จะต้องระดมพลังแผ่นดินทุกภาคส่วน ทั้งราชการ เอกชน พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน นักวิชาการทุกวงการ โดยที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาบูรณาการพลังแห่งแผ่นดินทุกภาคส่วนพาประเทศให้พ้นวิกฤต
นายจตุพร กล่าวว่า วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าอยู่เพื่อปกป้องสถาบัน แต่ความจริงแล้วไม่เคยออกมาปกป้อง ยกตัวอย่างได้จากการเกิดข่าวลือต่างๆ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังนิ่งเฉยปล่อยประละเลยไม่ออกมาชี้แจง และยังใช้มาตรา 112 มุ่งทำลายบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ทางการเมือง ทั้งที่มาตรา 112 ไม่สามารถที่จะใช้แบล็กเมล์หรือปกป้องรัฐบาลได้
“พล.อ.ประยุทธ์ อ้างว่าวันนี้อยู่เพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 และ มีการประกาศยึดอำนาจจากคณะรัฐมนตรีถึง 3 ครั้งเพื่อรวมอำนาจไว้ที่นายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาโควิด-19 ได้ และยังไม่ยอมรับผิดชอบ ดังนั้น หาก พล.อ.ประยุทธ์อยู่ โควิดก็คงยังอยู่ ส่วนอ้างว่าอยู่เพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอรัปชั่น นั้น ความจริงแล้ว การทุจริตไม่ได้หมดไปและยังคงเกิดขึ้น อย่าง พ.ร.ก.กู้เงิน 7 แสนล้านบาท ก็เป็นจุดหนึ่งที่เสี่ยงจะเกิดการทุจริตได้ นอกจากนี้ทุกสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศเป็นวาระแห่งชาติไม่เคยสำเร็จ และไม่เคยคิดจะออกจากตำแหน่ง ดังนั้นวันนี้ไม่ต้องกังวล ว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ ออกแล้ว ใครจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่แทน ให้คิดเสียว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นได้ ใครก็เป็นได้”นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวยก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้มาเป็นตัวอย่างให้กับ พล.อ.ประยุทธ์ เพราะ พล.อ.เปรม เป็นบุคคลที่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้ทั้งหมด แต่พล.อ.เปรม รู้จักพอ หลังจากดำรงตำแหน่งนายกฯมา 8 ปี ก็ปฏิเสธการเข้ารับตำแหน่งจากการเสนอชื่อของนักการเมือง ซึ่งถือเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับคนที่ต้องรู้จักพอ
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับตัวแทนรับหนังสือข้อเรียกร้องจากกลุ่มไทยไม่ทนฯ วันนี้ ปรากฎว่า นายสมภาส นิลพันธุ์ ที่ปรึกษาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จากเดิม นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้รับหนังสือเอง ทำให้ นายจตุพร กล่าวถึง นายเสกสกล สั้นๆว่า “ขอให้รัก พล.อ.ประยุทธ์ นานๆเหมือนกับที่รัก นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายจตุพร กล่าว .-สำนักข่าวไทย.