ศบค.เผยผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,713 ราย

ทำเนียบ วันนี้  (24 พ.ค. )   ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19  รายใหม่ 2,713 ราย “กทม.- เพชรบุรี”พบผู้ติดเชื้อสูง  จับตาคลัสเตอร์ในจังหวัดสมุทรปราการ  ขณะที่เรือนจำแนวโน้มดี ผู้ป่วยลดลง


พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์  ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19  (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้  ว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,713 ราย  แบ่งเป็นติดเชื้อในประเทศ 2,507 ราย  จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 206 ราย  พบผู้ป่วยยืนยันสะสม 132,213 ราย  รักษาหายป่วยเพิ่ม 1,565 ราย  สะสม 86,100 ราย กำลังรักษาอยู่ 45,307 ราย  แบ่งเป็นรักษาในโรงพยาบาล 18,753 ราย  และโรงพยาบาลสนาม 26,554 ราย  เป็นผู้ป่วยอาการหนัก 1,169 ราย  ใส่เครื่องช่วยหายใจ 406 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 30 ราย  รวมเสียชีวิต 806 คน

ผู้ติดเชื้อรายใหม่ แบ่งเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ 2,713 ราย  เป็นผู้ติดเชื้อจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 1,147 ราย  จากการค้นหาเชิงรุกในชุมชน 1,311 ราย  จากเรือนจำ/ที่ต้องขัง 206 ราย  และผู้เดินทางมาจากต่างประเทศเข้า State Quarantine 49 ราย


สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 30 ราย  อยู่ใน กทม. 11 ราย  นครราชสีมา ราชบุรี  จังหวัดละ 3 ราย สมุทรสาคร  สมุทรปราการ จังหวัดละ 2 ราย  ปทุมธานี สกลนคร ตาก อยุธยา เชียงราย สุรินทร์ ชัยภูมิ นนทบุรี ชัยนาท จังหวัดละ 1 ราย  โรคประจำตัว  ความดันโลหิตสูง เบาหวาน  ยังเป็นปัจจัยหลักเสี่ยงต่อความรุนแรงของโรค  ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19  จากการสัมผัสผู้ติดเชื้อที่เป็นคนในครอบครัว  อายุค่ากลาง 67 ปี  อายุน้อยสุด 28 ปี  อายุมากสุด 105 ปี  รักษานานที่สุด 35 วัน และมี 7 คนเสียชีวิตในสัปดาห์แรก  และบางคนไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อ  พอพบว่าติดเชื้อทำให้อาการแย่ลง

แนวโน้มจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19  รายใหม่  ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. – 24 พ.ค. 2564  จากระบบเฝ้าระวังยังมีแนวโน้มคงตัว   จากการคัดกรองเชิงรุกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ส่วนในเรือนจำและที่ต้องขังมีแนวโน้มลดลง

ผู้ติดเชื้อที่เดินทางมาจากต่างประเทศวันนี้  ผู้ติดเชื้อมาจากอินเดีย 6 ราย  เป็นคนไทยทั้งหมด  เป็นการเดินทางกลับบ้าน   คนไทยในกัมพูชาขอเดินทางกลับไทยเยอะขึ้น ทำให้พบเยอะขึ้น วันนี้เพิ่ม 41 ราย  แต่ยังมีพบการลักลอบเข้ามา  โดยพบจำนวน 2 ราย  ส่วนที่เหลือเข้ามาถูกต้อง  การลักลอบเข้าประเทศยังคงมีอยู่ ในระดับไม่ต่ำกว่า 100 ราย  วานนี้ พบ 105 ราย  โดยเฉพาะฝั่งเมียนมามากที่สุด 57 ราย  และจะมีความเข้มงวดมากขึ้นในการลักลอบเข้าประเทศ  รวมถึงการสืบสวนตั้งแต่ต้นทาง ถึงปลายทาง  เช่น  โรงงาน, ผู้อำนวยความสะดวก ให้กลุ่มผู้ลักลอบเข้ามาจะมีการดำเนินการทางกฎหมายเด็ดขาด


สถานการณ์ในประเทศ   ในพื้นที่ กทม. จังหวัดเพชรบุรี  ยังคงพบผู้ป่วยเพิ่มสูง   จังหวัดสมุทรปราการ  มีการพบคลัสเตอร์ในคอนโดฯ แห่งหนึ่ง  ซึ่งพบผู้ป่วยแล้ว  81 ราย กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนและสรุปข้อมูลเพิ่ม  แนวโน้มในหลายจังหวัดดีขึ้น  และในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล  จำนวนผู้ป่วยอาการหนักและที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจยังคงตัว  ส่วนจังหวัดอื่นจำนวนผู้ป่วยอาการหนักยังคงตัว  ส่วนที่ต้องใส่เครื่องช่วยยหายใจมีจำนวนลดลง

ส่วน 10 อันดับ ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศ   วันนี้  คือ 1. กรุงเทพมหานคร  951 ราย  2. เพชรบุรี 669 ราย   3. สมุทรปราการ 180 ราย   4. ชลบุรี 106 ราย   5. นนทบุรี 92 ราย  6. สมุทรสาคร 43 ราย   7. ปทุมธานี 38 ราย   8. สงขลา 36 ราย   9. ระนอง 30 ราย  10. นครปฐม 28 ราย

ทั้งนี้พบ 27 จังหวัด ที่ไม่พบผู้ป่วยเพิ่มในวันนี้  คือ ขอนแก่น, พัทลุง, พิษณุโลก, ลำพูน, กระบี่, ลำปาง, อ่างทอง, สุรินทร์, เพชรบูรณ์, กำแพงเพชร, นครพนม, น่าน, ชุมพร, กาฬสินธุ์, พะเยา, เลย, แพร่, อุตรดิตถ์, ชัยนาท, หนองคาย, พังงา, อำนาจเจริญ, แม่ฮ่องสอน, มุกดาหาร, อุทัยธานี, บึงกาฬ, สตูล  และหากเอาสีเขียวกับสีขาวรวมกัน จำนวนผู้ติดเชื้อต่ำกว่า 10 ราย  พบถึง 55 จังหวัด   ส่วนสีแดงพบผู้ติดเชื้อเกิน 100 ราย คือ กรุงเทพมหานคร เพชรชบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี

สำหรับปัจจัยเสี่ยง 3 อันดับแรก  คือ 1.ผู้สัมผัส 33%  2.ในเรือนจำและที่ต้องขัง 25%  3.ชุมชน พื้นที่เสี่ยง แออัด 13%   ในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่ตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย. – 23 พ.ค. 2564  มาจากการสัมผัสผู้ป่วย  สัมผัสใกล้ชิดกันในครอบครัว ที่ทำงาน  การติดเชื้อในชุมชน  พื้นที่เสี่ยง แออัด ติดเชื้อในเรือนจำและที่ต้องขัง

ส่วนผู้ติดเชื้อโควิด-19  ระลอกเดือนเมษายน เริ่มตั้งแต่ 1 เม.ย. 2564 เป็นต้นมา พบผู้ติดเชื้อแล้ว 103,350 ราย  เป็นผู้ติดเชื้อที่ตรวจพบในระบบเฝ้าระวังและบริการ 65,199 ราย ตรวจพบจากการค้นหาคัดกรองเชิงรุก 18,033 ราย  เรือนจำ/ที่ต้องขัง 15,819 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ 485 ราย  หายป่วยสะสม 58,674 ราย  เสียชีวิตสะสม 712 ราย

ขณะที่สถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลก  ยอดผู้ติดเชื้อรวม 167,518,744 ราย  อาการรุนแรง 96,937 ราย  รักษาหายแล้ว 148,531,144 ราย  เสียชีวิต 3,478,243 ราย อันดับประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุด  1. สหรัฐอเมริกา จำนวน 33,896,660 ราย   2. อินเดีย จำนวน 26,751,681 ราย  3. บราซิล จำนวน 16,083,573 ราย    4.ฝรั่งเศส จำนวน 5,603,666 ราย     5. ตุรกี จำนวน 5,186,487 ราย     โดยประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 87 จำนวน 132,213 ราย .- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ไฟไหม้รถยนต์ อดีต สส.ศิริโชค วอดทั้งคัน

สงขลา 5 ก.ค.-“ศิริโชค” อดีต สส.ปชป. เผยเหตุระทึก รถยนต์ PHEV ไฟลุกไหม้วอดทั้งคันกลางดึก ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จ ภาพคลิปเหตุการณ์ไฟไหม้รถยนต์ส่วนตัวของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจอดอยู่บริเวณบ้านพักที่ อ.นาทวี จ.สงขลา ช่วงตี 3 เมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา (5 ก.ค.68) โดยเพจเฟซบุ๊ก “ศิริโชค โสภา” ได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ พร้อมระบุข้อความว่า “อุทาหรณ์สยอง! ผมตื่นมากับเปลวเพลิงกลางดึก-ไฟลุกท่วมรถ PHEV ทั้งคัน ทั้งที่ไม่ได้ชาร์จ! เช้ามืดวันนี้ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียง “ปะทุ” ดังสนั่นกลางความเงียบของตีสาม…เมื่อรีบวิ่งออกมาดู สิ่งที่ผมเห็นคือเปลวไฟสีส้มแดงกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งจากรถยนต์ PHEV ที่จอดนิ่งหน้าบ้าน ตอนนั้นผมไม่ได้เสียบชาร์จไว้ด้วยซ้ำ-จอดไว้เฉยๆ แต่จู่ๆ ไฟกลับลุกขึ้นมาเอง โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่นิดเดียว รถดับเพลิงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะควบคุมเพลิงได้ และเมื่อไฟดับลง… สิ่งที่เหลืออยู่คือซากรถที่ไหม้เกรียมทั้งคันนี่ไม่ใช่แค่ความเสียหาย แต่คือคำเตือนที่น่ากลัวสำหรับผู้ใช้รถ EV และ PHEVแม้ไม่ได้ชาร์จ แม้จอดนิ่ง แบตเตอรี่ก็ยังมีโอกาสลุกไหม้ได้เองโดยไม่ทันตั้งตัว ไฟฟ้าเงียบ-แต่มันเผาผลาญทุกอย่างได้ในพริบตา ต่อมาผู้สื่อข่าวได้ […]

ตาขับรถทับศีรษะหลานวัย 1 ขวบ ดับสลด

สุราษฎร์ธานี 5 ก.ค. – สุดสลด ตาขับรถกระบะไม่ทันดู เหยียบศีรษะหลานสาว วัย 1 ขวบ 5 เดือนเสียชีวิตคาที่ ตายายร้องไห้แทบขาดใจ สุดสลด ตาขับรถกระบะไม่ทันดู เหยียบศีรษะหลานสาว วัย 1 ขวบ 5 เดือนเสียชีวิตคาที่ หลังจากที่ตากลับจากซื้อของที่ตลาด เมื่อมาถึงบ้านซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำในอำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ขนของลงจากรถเสร็จ ระหว่างจะนำรถไปจอดไม่ทันสังเกตว่าหลานวิ่งอ้อมรถมา รู้อีกทีล้อรถหน้าด้านคนขับเหยียบเข้าที่ศีรษะของหลานแล้ว ทำให้หลานเสียชีวิตทันที เมื่อเห็นร่างหลาน ตาและยายร้องไห้แทบขาดใจ เพราะเลี้ยงหลานคนนี้มาตั้งแต่เล็กๆ ก่อนนำร่างส่งชันสูตรที่โรงพยาบาลพระแสงต่อไป.- สำนักข่าวไทย

อ.อ๊อด ชี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ปกติ กรณีรถยนต์ไฟฟ้า อดีตสส.สงขลา ไฟไหม้

นครปฐม 5 ก.ค. – อาจารย์อ๊อด นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ แสดงความคิดเห็นว่า กรณีรถยนต์ไฟฟ้าของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา เกิดไฟไหม้ ถือเป็นเหตุการณ์ไม่ปกติ และแบตเตอรี่อาจจะมีปัญหา จากกรณีเพจเฟซบุ๊ก Sirichok Sopha หรือ นายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ แชร์ประสบการณ์ โดยระบุข้อความว่า “เช้ามืดวันนี้ ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเสียง “ปะทุ” ดังสนั่นกลางความเงียบของตีสาม…เมื่อรีบวิ่งออกมาดู สิ่งที่ผมเห็นคือเปลวไฟสีส้มแดงกำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่งจากรถยนต์ PHEV ที่จอดนิ่งหน้าบ้าน รถคันนี้ซื้อจากศูนย์หาดใหญ่เมื่อ 2 ปีก่อน ผมใช้งานตามปกติ และที่สำคัญคือ ตอนนั้นผมไม่ได้เสียบชาร์จไว้ด้วยซ้ำ-จอดไว้เฉยๆแต่จู่ๆ ไฟกลับลุกขึ้นมาเอง โดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าแม้แต่นิดเดียวรถดับเพลิงต้องใช้เวลาหลายนาทีกว่าจะควบคุมเพลิงได้ และเมื่อไฟดับลง… สิ่งที่เหลืออยู่คือ ซากรถที่ไหม้เกรียมทั้งคันนี่ไม่ใช่แค่ความเสียหาย แต่คือคำเตือนที่น่ากลัวสำหรับผู้ใช้รถ EV และ PHEVแม้ไม่ได้ชาร์จ แม้จอดนิ่ง แบตเตอรี่ก็ยังมีโอกาสลุกไหม้ได้เองโดยไม่ทันตั้งตัวไฟฟ้าเงียบ-แต่มันเผาผลาญทุกอย่างได้ในพริบตา” รศ.ดร.วีรชัย พุทธวงศ์ หรือ อาจารย์อ๊อด นักวิชาการสาขาเคมีอินทรีย์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม […]

สพฐ. จัดทีมนิติกรช่วยครูการเงิน

กทม. 5 ก.ค.-สพฐ. จัดทีมนิติกรช่วยครูการเงิน กรณีถูกชี้มูลร่วมลงชื่อเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน วันที่ 4 กรกฎาคม 2568 ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เปิดเผยว่า ตามที่มีรายงานข่าวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ กรณีข้าราชการครูผู้รับผิดชอบงานการเงินของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดกาญจนบุรี ได้ร้องขอความเป็นธรรมภายหลังถูกชี้มูลความผิดร่วมกับอดีตผู้อำนวยการโรงเรียน จากการลงนามในเอกสารเบิกจ่ายค่าอาหารกลางวัน โดยยืนยันว่าไม่ได้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดนั้น สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาต้นสังกัด และยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งลงโทษทางวินัยออกโดยเขตพื้นที่ฯ แต่อย่างใด สำหรับการดำเนินการในขั้นต่อไป สพฐ. ได้จัดเตรียมนิติกรจากส่วนกลาง เพื่อสนับสนุนการให้คำปรึกษาทางกฎหมายและการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครูสามารถใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ตามมาตรา 99 แห่งพระราชบัญญัติ ป.ป.ช. พ.ศ. 2561 ได้อย่างเต็มที่ เลขาธิการ กพฐ. ระบุว่า กรณีนี้สะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องทบทวนบทบาทภาระงานของครูในภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน โดยเฉพาะงานด้านการเงินและพัสดุ ซึ่งมีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงเชิงกฎหมายสูง สพฐ. จึงอยู่ระหว่างการปรับปรุงระบบสนับสนุนภายในโรงเรียน เพื่อให้โครงสร้างงานสนับสนุนมีความเหมาะสมกับวิชาชีพครูมากยิ่งขึ้น “ข้าราชการครูที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตจะไม่ต้องเผชิญกระบวนการตามลำพัง สพฐ. พร้อมอยู่เคียงข้างและสนับสนุนในทุกขั้นตอน เพื่อให้สามารถใช้สิทธิและเข้าถึงความเป็นธรรมได้อย่างมั่นใจครับ” เลขาธิการ กพฐ. กล่าว.-416.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

“ศิริโชค” เชื่อรถถูกเผาโยงการเมือง ตร.เร่งหาเบาะแสคนร้าย

6 ก.ค.- “ศิริโชค” ฟันธงเหตุรถยนต์ถูกลอบวางเพลิงมาจากเรื่องการเมือง ด้านตำรวจเร่งหาเบาะแสคนร้าย ส่วนบริษัทเจ้าของรถออกหนังสือชี้แจงสาเหตุไฟไหม้ ความคืบหน้าเหตุการณ์ไฟไหม้ รถ GWM HAVAL H6 PHEV ของนายศิริโชค โสภา อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ 4 สมัย ซึ่งจอดอยู่ในบริเวณบ้านพักที่ อ.นาทวี จ.สงขลา เมื่อช่วงตี 3 วานนี้ (5ก.ค.68) ทำให้รถเสียหายทั้งคันและได้เข้าแจ้งความกับตำรวจสภ.นาทวี เพื่อให้ตรวจสอบว่าเป็นความบกพร่องของรถหรือลอบวางเพลิง ล่าสุดในทางคดีมีการยืนยันชัดเจนแล้วว่า เป็นการจงใจลอบวางเพลิง โดยหลังจากที่วานนี้ พนักงานสอบสวน สภ.นาทวี และตำรวจพิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบหาสาเหตุเพลิงไหม้รถยนต์คันนี้ ปรากฏว่าพบมียางรถยนต์จำนวน 6 เส้นถูกเผาเหลือแต่เส้นใยเหล็ก พร้อมด้วยตับสิเหรงที่ใช้มุงหลังคา ซึ่งน่าจะเป็นเชื้อเพลิงในการจุดไฟเพื่อทำการเผารถยนต์คันนี้อยู่บริเวณใต้ท้องรถ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐานและประสานชุดสืบสวนลงพื้นที่หาเบาะแสผู้ก่อเหตุ ไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุหรือความบกพร่องของรถแต่อย่างใด ด้านนายศิริโชค เปิดเผยว่า ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่าเป็นการวางเพลิงโดยใช้ยางรถยนต์ ตับสิเหรง และใช้น้ำมันเบนซินราด จากที่ตนสังเกตแม้ว่าทางศูนย์หลักฐานจะยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ว่าดูจากรูปการแล้วพุ่งเป้าไปที่คนวางเพลิง ไม่ใช่ความบกพร่องของรถ แต่มีความตั้งใจที่จะให้เป็นความบกพร่องของรถเพราะเป็นรถไฟฟ้า แต่สุดท้ายจากหลักฐานที่พบบ่งชี้ไปที่การวางเพลิง มองว่ามาจากเรื่องการเมืองมากกว่าเรื่องการสร้างสถานการณ์ด้านความมั่นคงหรือเรื่องส่วนตัว เพราะตนไม่มีความแค้นส่วนตัวกับใครไม่ได้ทำธุรกิจในพื้นที่ ไม่มีเรื่องชู้สาว สิ่งที่เดียวที่มีคือการเป็นนักการเมือง […]

รวบ “สังข์” ผู้ต้องหาแหกห้องขัง สภ.เมืองสกลนคร

6 ก.ค.- ตำรวจบุกรวบ “สังข์” ผู้ต้องหาคดีอาวุธปืนและยาเสพติด หลังก่อเหตุแหกห้องขัง สภ.เมืองสกลนคร จนมุมบนขบวนรถไฟ ขณะเตรียมหลบหนีเข้ากรุงเทพฯ ตำรวจสอบสวนกลาง หรือ CIB จับกุมนายเกียรติศักดิ์ หรือ สังข์ อายุ 39 ปี ผู้ต้องหาคดีอาวุธปืนและยาเสพติด ได้บนขบวนรถไฟ ขณะเตรียมหลบหนีเข้ากรุงเทพฯ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวมาลงบันทึกการจับกุมที่ สน.เตาปูน และอยู่ระหว่างการควบคุมตัวกลับมาดำเนินคดีที่ สภ.เมืองสกลนคร นายเกียรติศักดิ์ ก่อเหตุหลบหนีจากห้องควบคุม สภ.เมืองสกลนคร เมื่อช่วงเช้ามืดของวันที่ 13 มิถุนายน เจ้าหน้าที่พบเบาะแสหลบซ่อนตัวบนเทือกเขาภูพาน ขณะเดียวกันโซเชียลพากันแชร์ภาพนายเกียรติศักดิ์ พบว่า เป็นบุคคลอันตรายที่อาจมีอาวุธ หากใครพบเห็นห้ามเข้าใกล้ ทั้งนี้ สภ.เมืองสกลนคร ได้ปูพรมค้นหาตามล่าตัวและตั้งรางวัลนำจับ เป็นเงิน 3 หมื่นบาทให้กับผู้แจ้งเบาะแส .-สำนักข่าวไทย

เจ้าอาวาสวัดดังพิษณุโลก ย่องลาสิกขา หลังพัวพันข่าวดัง

พิษณุโลก 6 ก.ค.- “พระ ส.” เจ้าอาวาสวัดดัง จ.พิษณุโลก ย่องลาสิกขาเงียบ หลังพัวพันข่าวดัง ขณะทางวัดยังไม่แถลงชี้แจงเกี่ยวกับสาเหตุ เจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ได้ลาสิกขาอย่างเงียบ ๆ โดย พระครูวิโรจน์ธรรมากร เจ้าอาวาสวัดกรุงกรัก เจ้าคณะตำบลท่านางงาม เขต 2 เลขานุการเจ้าคณะอำเภอบางระกำ เป็นผู้ทำพิธีลาสิกขาให้พระ ส. ท่ามกลางกระแสข่าวว่าเป็นสามีคนแรกของหญิงสาวที่รู้จักในฉายา “น้องดอกไม้” หรือสีกา ก. และยิ่งได้รับความสนใจเมื่อมีข้อมูลระบุว่า น้องดอกไม้มีบุตรสาววัย 13 ปี ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในอดีตของพระ ส. ขณะทางวัดยังไม่มีการออกแถลงชี้แจงเกี่ยวกับสาเหตุของการลาสิกขา แต่แหล่งข่าวใกล้ชิดเผยว่าเป็นการตัดสินใจส่วนตัวของเจ้าอาวาส เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของวัดและศาสนา -สำนักข่าวไทย

ไทยเปิดด่านกรณีพิเศษ ช่วยนายพลกัมพูชาป่วยฉุกเฉิน

สระแก้ว 6 ก.ค.- เพื่อมนุษยธรรม! ไทยเปิดด่านเป็นกรณีพิเศษ ช่วยเหลือนายทหารระดับสูงกัมพูชา ป่วยฉุกเฉิน ส่งรักษาโรงพยาบาล อ.อรัญประเทศ สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ยังคงตึงเครียดและมีการปิดจุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ได้เกิดภาพความประทับใจ เมื่อหน่วยงานความมั่นคงของไทย ร่วมกันตัดสินใจเปิดด่านเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่นายทหารระดับสูงกัมพูชา โดยเจ้าหน้าที่ไทยจากทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันอำนวยความสะดวกบริเวณสะพานมิตรภาพไทย-กัมพูชา เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาลเกษมราษฎร์อินเตอร์เนชั่นแนลอรัญประเทศ อ.อรัญประเทศ เพื่อทำการรักษาให้ทันท่วงที ปัจจุบันด่านคลองลึก ยังคงปิดทำการจากปัญหาชายแดนที่ยังไม่คลี่คลาย แต่การดำเนินการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า หลักมนุษยธรรมและความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันนั้นอยู่เหนือปัญหาความขัดแย้งใด ๆ ทั้งปวง และยังแสดงถึงมิตรภาพที่แน่นแฟ้นของเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานของทั้งสองประเทศ -สำนักข่าวไทย