ทำเนียบ 21 พ.ค.-ศบค.เห็นชอบแผนการกระจายวัคซีนแอสตราเซเนกา เข็มแรกเริ่มมิถุนายน – กันยายน ขณะที่ภูเก็ตเปิดรับท่องเที่ยวในเดือนมิถุนายน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ครั้งที่ 7/2564 ผ่านระบบ Video Conference ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล
ที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ เห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในทุกเขตท้องที่ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน – 31 กรกฎาคม 2564 เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว และทันต่อสถานการณ์ ทั้งนี้พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ลดลง โดยเฉพาะในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล ส่วนต่างจังหวัดมีแนวโน้มคงตัว
ที่ประชุม ศบค. ยังเห็นชอบแผนการจัดสรรวัคซีนแอสตราเซเนกา 36 ล้านโดส เข็มที่ 1 โดยเป็นข้อมูล ณ วันที่ 20 พ.ค. เดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน 2564 และเข้มที่ 2 เดือนตุลาคม-ธันวาคม เพื่อให้คนไทยและคนต่างชาติจำนวน 50 ล้านคน ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 ร้อยละ 70 ในเดือนกันยายน ด้วยความสมัครใจ และผู้ที่ลงทะเบียนหมอพร้อม จะได้รับประกันการจัดสรรวัคซีน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจ การท่องเที่ยว ตามแผนเปิดประเทศที่กำหนด
กลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับการฉีดวัคซีน 8 กลุ่ม คือ 1.บุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุขด่านหน้า ทั้งภาครัฐและเอกชน 2.เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการควบคุมโควิด-19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย 3 บุคคลที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว 4.ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป 5.ประชาชนที่มีความเสี่ยงสัมผัสโรค เช่น ครู พนักงานขับรถสาธารณะ ชาวไทยที่ไปศึกษาและทำงานต่างประเทศ 6.คณะทูตานุทูต และครอบครัว รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศ 7.ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม และ 8.ชาวต่างชาติ และแรงงานต่างด้าว
สำหรับแผนการส่งมอบวัคซีนแอสตราเซเนกา เริ่มมิถุนายน 6.3 ล้านโดส กรกฎาคมถึงพฤศจิกายน เดือนละ 10 ล้านโดส และเดือนธันวาคม 5 ล้านโดส และกำลังจัดหาเพิ่มประมาณ 37 ล้านโดส จากบริษัทจอห์นสัน 10 ล้านโดส ไฟเซอร์ 20 ล้านโดส ชิโนแวค 7ล้านโดส โดยขึ้นอยู่กับความสามารถในการผลิตและส่งมอบวัคซีนจากบริษัทผู้ผลิต
ขณะที่จังหวัดที่มีแผนเปิดการท่องเที่ยว ได้แก่ ภูเก็ต จะได้รับภายในเดือนมิถุนายน ส่วนจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านและมีความเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์ภายหลังการระบาด จะได้รับภายในเดือนกรกฎาคม รวม 17 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย สงขลา สระแก้ว ตาก มุกดาหาร นราธิวาส ระนอง หนองคาย เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พังงา กระบี่ จันทบุรี ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา และสมุทรสาคร จากนั้นก็จะจัดลำดับไปอีก 55 จังหวัดที่เหลือของประเทศไทยเพื่อกระจายวัคซีนอย่างครอบคลุม
ที่ประชุม ศบค. เห็นชอบช่องทางการลงทะเบียนและเข้ารับวัคซีน 3 ช่องทางคือ 1 .จองผ่านหมอพร้อม 2. นัดหมายผ่านสถานพยาบาลหรือ อสม. หรือผ่านองค์กรหรือช่องทางอื่นที่กรุงเทพมหานครจัดเพิ่มเติม และ 3.ลงทะเบียน ณ จุดบริการ on site พร้อมมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดการประชาสัมพันธ์เรื่องช่องทางการรับบริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 และการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายจำเพาะให้ทราบโดยทั่วกัน .-สำนักข่าวไทย