กรุงเทพฯ 13 พ.ค.-ประธานอนุฯแก้ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน สภาผู้แทนราษฎร หนุนรัฐเดินหน้ามาตรการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย หลังผู้ประกอบธุรกิจได้รับผลกระทบหนักจากโควิด
นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนฯ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะผู้ประกอบการ เนื่องจากบางธุรกิจมีรายรับเข้ามาน้อยกว่ารายจ่าย ส่งผลให้ธุรกิจหลายประเภทกระทบหนักและเกิดปัญหาเรื่องของหนี้สินเพิ่มมากขึ้นที่ ผ่านมาแม้ภาครัฐจะมีมาตรการการช่วยเหลือทั้งเรื่องการพักชำระหนี้ แต่ยังมีผลกระทบเรื่องดอกเบี้ยเนื่องจากเป็นการพักชำระหนี้ในส่วนของเงินต้นเท่านั้น รวมทั้งประเด็นหากผิดนัดชำระที่อาจส่งผลกระทบและอาจเกิดความไม่เป็นธรรมต่อลูกหนี้
“ทางกรรมาธิการฯจึงมีข้อเสนอไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยเรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์การคิดดอกเบี้ยใหม่กรณีผิดนัดชำระหนี้ให้คิดได้เฉพาะเงินงวดที่ค้าง ซึ่งจะสร้างความเป็นธรรมให้กับลูกหนี้ โดยล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยเห็นชอบปรับหลักเกณฑ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมาโดยคิดดอกเบี้ยผิดนัดชําระหนี้บนฐานของเงินต้นที่ผิดนัดจริงเท่านั้น ไม่ให้รวมส่วนของเงินต้นของค่างวดในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ต่างจากแนวปฏิบัติเดิม ที่หากผิดนัดชาระหนี้เพียงงวดเดียว ผู้ให้บริการทางการเงินสามารถคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้จากฐานเงินต้นคงค้างทั้งหมด ส่งผลให้มูลค่าดอกเบี้ยผิดนัดสูงมาก ซึ่งเกณฑ์ใหม่นี้จะทำให้การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้สอดคล้องกับความเป็นจริงและเกิดความเป็นธรรมกับประชาชนมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของกรรมาธิการ” นายสัมฤทธิ์ กล่าว
นายสัมฤทธิ์ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของโควิด- 19 ระลอก 3 ส่งผลค่อนข้างหนัก กรรมาธิการฯ ได้หารือและติดตามมาตรการของรัฐบาลในการให้ความช่วยเหลือประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย โดยอาจมีข้อเสนอให้ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก อาทิ ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่ท่องเที่ยว ซึ่งต้องยอมรับว่ามีรายได้เป็นศูนย์ ให้ได้รับการช่วยเหลือดูแลทั้งการพักเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งหากเร่งดำเนินการเรื่องการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุม จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง
“เชื่อว่าสถานการณ์ต่าง ๆ น่าจะ เข้าสู่สถานการณ์ปกติ ซึ่งจะทำให้ กลไกในภาคเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนไปได้ก็จะช่วยในการลดทั้งเรื่องของการว่างงานเรื่องของปัญหาหนี้สินได้ ขณะที่มาตรการต่างๆที่ภาครัฐได้ออกมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายและเศรษฐกิจในภาพรวม อาทิ โครงการเรารักกัน โครงการเราชนะ ผมมองว่าเม็ดเงินที่ลงไปนั้นเข้าถึงประชาชนและช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายได้อย่างมาก ซึ่งทุกมาตรการก็จะเป็นหนึ่งในกลไกที่จะช่วยพยุง การใช้จ่ายของพี่น้องประชาชนและช่วยเสริมกลไกทางด้านเศรษฐกิจ” นายสัมฤทธิ์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย