กทม. 10 พ.ค.-“อนุทิน” ขอประชาชนเชื่อมั่นวัคซีนโควิด-19 ขอประชาชนรับบริการช่วยชาติ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงแผนบริหารจัดการวัคซีนโควิด 19 โดยระบุว่า สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจคือ วัคซีนแอสตราเซนเนกา จะเป็นวัคซีนหลักของไทย ซึ่งผลิตในไทย โดยสยามไบโอไซเอนซ์ ได้เริ่มผลิตตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม 2563 ตามแผน จะเริ่มส่งให้ไทยได้ในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ผู้ผลิตได้แจ้งว่า วัคซีนได้มาตฐานผ่านการตรวจสอบจากต่างประเทศ และผลิตได้ตามกำหนด และได้มาตรฐานในระดับสากล
แน่นอนว่า ที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์วัคซีน ขอให้ย้อนกลับไปดูที่กระบวนการพิจารณานำเข้ามาให้บริการนั้น ผ่านการคิดวิเคราะห์คำนึงถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพของวัคซีน ความปลอดภัย ซึ่งมีการเห็นชอบจากคณะกรรมการวิชาการด้านการใช้วัคซีน นอกจากนี้ต้องผ่านการตรวจสอบเห็นชอบจาก กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงาน อย. การนำเข้ามา ตรวจสอบมาแล้วหลายขั้นตอน ขอให้ประชาชนมีความเชื่อมั่นในวัคซีน รัฐได้จัดหาวัคซีนโดยคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
ทั้งนี้ เรื่องการเกิดอาการไม่พึงประสงค์นั้น มีเกณฑ์การจ่ายชดเชยให้ตามกฎหมาย แต่รัฐพร้อมจะเข้าไปดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบแน่นอน นอกจากนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือจากประชาชนหลังฉีดวัคซีน ให้เฝ้าดูอาการประมาณ 30 นาที หลังได้รับวัคซีน ขอย้ำว่าวัตถุประสงค์ของการฉีดวัคซีน 1.เพื่อป้องกันไม่ให้ติดเชื้อและแพร่เชื้อ 2.ป้องกันไม่ให้อาการหนัก 3.ป้องกันไม่ให้ตาย
เราต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์ ให้ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีน สิ่งที่สำคัญของวัคซีนคือช่วยให้ป่วยแล้วอาการไม่หนัก ทำให้โอกาสในการแพร่เชื้อน้อยลงไปด้วย
“ในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ทำการหารือกับไฟเซอร์ โดยไฟเซอร์ได้แจ้งว่าวัคซีนไม่ต้องเก็บในอุณหภูมิที่ต่ำมากๆ แล้ว และวัคซีนยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มอายุ 12 ปี ซึ่งในไทย ยังไม่มีตัวไหนครอบคลุมในกลุ่มอายุนี้ รัฐบาลจึงต้องนำมาพิจารณาเป็นพิเศษ ทางไฟเซอร์จะพยามจัดส่งให้ได้ หากทางเรารับเงื่อนไข ในการจัดซื้อ เงื่อนไขทางด้านกฎหมาย เงื่อนไขด้านการชำระเงิน และเงื่อนไขในการจัดส่ง เมื่อคู่เจรจายอมรับเงื่อนไขของกันและกัน ไฟเซอร์สามารถส่งให้ไทยได้ไม่เกิน 20 ล้านโดส ภายในครึ่งปีหลัง”
เมื่อถามถึงการขึ้นทะเบียนวัคซีน นายอนุทิน กล่าวว่า ภาครัฐเปิดกว้าง ขอให้เอกชน หรือผู้ผลิต นำเอกสารมาขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ซึ่งภาครัฐไม่มีการถ่วงเวลาแน่นอน.-สำนักข่าวไทย