ศบค. เผยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียคนแรก อยู่ใน SQ

กรุงเทพฯ 10 พ.ค.-ศบค. รายงานพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,630 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 22 ราย เตือนผู้ป่วยส่วนใหญ่ติดจากคนในครอบครัวเพื่อนฝูงและคนใกล้ชิด เผยผู้ติดเชื้อสายพันธุ์อินเดียคนแรกมาจากปากีสถาน อยู่ใน State Quarantine สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับตา หวั่นกลายพันธุ์


แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์ ศบค. แถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยวันนี้ (10 พ.ค.) ว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 1,630 ราย เดินทางจากต่างประเทศ 8 ราย หายป่วยกลับบ้าน 1,603 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 22 ศพ เป็นเพศชาย 9 รายหญิง 13 ราย อายุน้อยสุดของผู้เสียชีวิตวันนี้ 30 ปี อายุมากสุด 92 ปี และยังพบว่ามีโรคประจำตัวความดัน 13 คน และมีผู้ป่วยติดเตียงด้วย ซึ่งจะเห็นว่าผู้ติดเตียงติดเชื้อมาจากคนในครอบครัวและพบว่าใน 22 ราย มี 2 ราย เป็นผู้ที่เสียชีวิตในวันเดียวกับที่ทราบผลการติดเชื้อ หมายความว่าทั้งสองคนนี้มาถึงมือแพทย์ในระยะที่อาการหนัก และอีก 7 ราย เสียชีวิตภายใน 1 สัปดาห์ จึงขอย้ำว่า หากมีอาการทางเดินหายใจหรือมีประวัติไปในพื้นที่เสี่ยง หรือใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อ ขอให้เข้าสู่ระบบการคัดกรอง เพื่อจะได้ไม่มาถึงโรงพยาบาลด้วยอาการหนัก และจากข้อมูล ปัจจัยเสี่ยงที่รายงานการติดเชื้อ จะเห็นว่าการติดเชื้อที่เกิดขึ้น จะอยู่ในส่วนของครอบครัว เพื่อนผู้ดูแลและคนใกล้ชิด รวมถึงอาชีพเสี่ยง คือ บุคลากรทางการแพทย์ ทหารตำรวจที่ทำงานใกล้ชิดกับคนหมู่มาก โดยสถานที่ที่เป็นพื้นที่เสี่ยง คือทัณฑสถาน ห้างสรรพสินค้า รวมถึงธนาคาร

สำหรับผู้ติดเชื้อที่เดินทางจากต่างประเทศ มี 8 ราย มาจากอินเดีย 1 ราย ซึ่งผู้ป่วยรายนี้เดินทางมาถึงประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน มีการตรวจพบเชื้อวันที่ 21 เมษายน ซึ่งได้เน้นย้ำการเดินทางจากประเทศอินเดีย เพราะเฝ้าระวัง สายพันธุ์อินเดีย และจะเห็นว่าการเดินทางจากประเทศอินเดีย ที่เป็นชาวต่างชาตินั้นไม่มีแล้ว และเที่ยวบินจากอินเดียส่วนใหญ่ เป็นการพาคนไทยกลับบ้าน 8 พ.ค. ที่เดินทางมาจากอินเดียเป็นคนไทยทั้งหมด 74 คน และทุกคนได้รับการดูแลใน state quarantine ที่รัฐจัดให้ทั้งหมด และทางกระทรวงการต่างประเทศได้ชะลอการออกเอกสารการเดินทางให้กับคนต่างชาติ จากอินเดียตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม และกรมควบคุมโรคกับกระทรวงการต่างประเทศได้หารือกันเนื่องจากมีการรายงานว่าการแพร่ระบาดของสายพันธุ์อินเดียไม่ได้อยู่เฉพาะอินเดียแต่มีที่ปากีสถานบังกลาเทศและพบครั้งแรกที่เนปาล จึงจะต้องหามาตรการป้องกัน


ทั้งนี้ยังได้หารือถึงกรณีการตรวจพบเชื้อจากชาวไทยมาจากปากีสถาน เป็นสายพันธุ์อินเดีย เป็นรายแรกด้วย โดยเป็นหญิงไทย อายุ 42 ปี ตั้งครรภ์ 25 สัปดาห์ เคยมีภูมิลำเนาอยู่ปากีสถาน เดินทางมาถึงไทยตั้งแต่ 24 เมษายน และแวะพักเครื่องที่ดูไบ โดยเดินทางมาพร้อมบุตรชาย 3 คน อายุ 4 ขวบ 6 ขวบ และ 8 ขวบ โดยพักอยู่ใน state quarantine กับบุตรชาย 4 ขวบ วันที่ 26 เมษายน พบว่ามีเชื้อเป็นบวก ยืนยันติดโควิด ซึ่งทางกรมควบคุมโรค ตรวจพบเป็นสายพันธุ์อินเดีย ทำให้ในที่ประชุม ของกระทรวงสาธารณสุข หารือกันโดยมีความเป็นห่วง ว่าจะมีเชื้อกลายพันธุ์ ในประเทศไทย จึงกำชับกรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ร่วมทำงานกับโรงเรียนแพทย์กรมควบคุมโรคและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังสูงสุดในเรื่องของเชื้อกลายพันธุ์

แพทย์หญิงอภิสมัยกล่าวได้ว่า ศบค. ยังได้เน้นย้ำฝ่ายปกครอง ให้ป้องกันการลักลอบเข้าประเทศ ขณะเดียวกันในส่วนของคนไทย ที่ต้องการเดินทางกลับเข้าประเทศ ขอให้เข้าสู่ระบบทำตามมาตรฐาน และรัฐบาลจะดูแลให้ความปลอดภัย พร้อมขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่ช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบเห็นการขนแรงงานต่างด้าวขอให้แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งขณะนี้ได้เน้นย้ำเรื่องของการจัดหาและฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรที่อยู่ด่านหน้า รวมถึงข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ บริเวณชายแดนด้วย.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่ม 31 ซิ่งเก๋งชนไรเดอร์ดับคาที่ หลังมีปากเสียงเรื่องขับเฉี่ยวชน

หนุ่มไทยเชื้อสายอินเดีย ลูกเจ้าของร้านขายผ้าซิ่งเก๋งชนไรเดอร์ดับ ริมถนนสุขุมวิท หลังมีปากเสียงเรื่องขับรถเฉี่ยวไม่ลงมาเจรจา

พ่อพาญาติเยี่ยมลูกชายลูกครึ่งอินเดีย ขับรถชนไรเดอร์ดับ

พ่อพาญาติเยี่ยมลูกชายลูกครึ่งอินเดีย ที่หัวร้อนขับรถชนไรเดอร์ดับคาที่กลางสุขุมวิท เมื่อวานนี้ พร้อมไหว้ขอสื่อ อย่ามายุ่งกับครอบครัว

จำคุกทนายเดชา

ศาลสั่งจำคุก 1 ปี “ทนายเดชา” ปมไลฟ์หมิ่น “อ.อ๊อด”

ศาลสั่งจำคุก 1 ปี “ทนายเดชา” คดีหมิ่น “อ.อ๊อด” ปรับ 1 แสนบาท ปมไลฟ์ด่าเสียหาย ให้รอลงอาญา โจทก์เตรียมอุทธรณ์ต่อ ขอให้ติดคุกจริง

ศาลให้ประกันหนุ่มลูกครึ่งอินเดียหัวร้อนขับรถไล่ชนไรเดอร์ดับ

ครอบครัวไรเดอร์ที่ถูกหนุ่มลูกครึ่งอินเดียหัวร้อนขับรถไล่ชนเสียชีวิต กอดกันร้องไห้รับร่างและรดน้ำศพ ด้านศาลให้ประกันตัวผู้ต้องหา วงเงิน 600,000 บาท ติดกำไล EM-ห้ามออกนอกประเทศ

ข่าวแนะนำ

วันประวัติศาสตร์ สมรสเท่าเทียมวันแรก

วันนี้เป็นวันแรกที่กฎหมายสมรสเท่าเทียม มีผลใช้บังคับอย่างเป็นทางการ ใน กทม. มีการจัดงานวันสมรสเท่าเทียมอย่างยิ่งใหญ่ เฉลิมฉลองให้กับเส้นทางการต่อสู้อันยาวนานกว่าที่กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ ไม่ว่าเพศใดก็จะได้รับสิทธิการสมรสอย่างเท่าเทียมกัน

นาทีประวัติศาสตร์! นายกฯ ร่วมพิธีลงนาม FTA ไทย-เอฟตา

นายกฯ ร่วมพิธีลงนาม FTA ไทย-เอฟตา ฉบับแรกไทยกับยุโรป ความสำเร็จรัฐบาลแพทองธาร สร้างโอกาสยุคทองการค้า-ลงทุน ทำเงินเข้าประเทศ

ตำรวจ ปปป.ซ้อนแผนบุกจับนายช่างโยธา เรียกรับเงิน 4 แสน

ตำรวจ ปปป. บุกจับนายช่างโยธาปฏิบัติงาน ฝ่ายโยธา สำนักงานเขตพระโขนง เรียกรับเงินค่าออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร 400,000 บาท

สมรสเท่าเทียม

นายกฯ ส่งคลิปสารร่วมยินดีกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้

“แพทองธาร” นายกฯ ส่งคลิปสารร่วมแสดงความยินดีกฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้ ขอบคุณทุกภาคส่วนผ่านการต่อสู้กับอคติกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ ทุกตารางนิ้วของประเทศไทยโอบรับความหลากหลาย และเท่าเทียม