ทำเนียบ 28 เม.ย.-ศบค. ชี้ผู้ป่วยอาการหนักใน กทม.เพิ่มขึ้นต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด ขอผู้ป่วยที่รอเตียงทำความเข้าใจ ถ้าผู้ติดเชื้อใหม่บางรายอาการหนักได้เตียงก่อน
แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงว่าในที่ประชุม ศบค.ชุดเล็กได้ติดตามสิ่งที่ประชาชนกังวลคือเรื่องของการรอเตียงผู้ป่วย โดยได้หารือและพยายามบูรณาการร่วมกัน เพื่อจัดหาเตียงให้รวดเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งการเปรียบเทียบตัวเลขจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการหนักในกรุงเทพมหานคร พบว่ามีจำนวนสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดในทุกวัน วันที่ 21 เม.ย. ผู้ป่วยอาการหนัก 109 ราย และในวันที่ 27 เม.ย. เพิ่มเป็น 255 ราย การเปิดโรงพยาบาลสนาม โดยเฉพาะในพื้นที่ของ กทม. อาจไม่ตอบโจทย์ ถ้าผู้ป่วยมีอาการค่อนข้างหนักที่จำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
ขณะเดียวกันมีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายและกลับบ้านอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเมื่อเตียงผู้ป่วยว่าง ขณะที่มีผู้ป่วยรอเตียงอยู่หลายวัน แต่เมื่อพบผู้ติดเชื้อใหม่ที่มีอาการหนัก จึงจำเป็นต้องได้เข้ารับการรักษาก่อน จึงต้องชี้แจงให้ประชาชนได้เข้าใจว่าอาจจะกระทบกับผู้ที่รอเตียงมาก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันระหว่างการรอเตียงผู้ป่วยทุกคนต้องสังเกตอาการ ถ้ามีอาการเปลี่ยนแปลง เช่น ไข้สูง หอบเหนื่อย และถ่ายเหลว ต้องรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ รวมถึงต้องแยกกักตัวไม่ให้ติดเชื้อไปยังคนในครอบครัวและหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารร่วมกัน
แพทย์หญิงอภิสมัย กล่าวว่า ทาง กทม. ได้เพิ่มคู่สายทางโทรศัพท์เพื่อติดต่อกับประชาชนอย่างเร็วที่สุด โดยประชาชนจะโทรติดใน 1-2 นาทีและจะมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องเพื่อประสานงานต่อไป ทั้งนี้มีช่องทางไลน์ @sabaideebot (สบายดีบอต) ให้ประชาชนลงทะเบียนประเมินอาการว่าอยู่กลุ่มใด เพื่อที่จะแจ้งเจ้าหน้าที่ได้รวดเร็วมากขึ้น
แพทย์หญิงอภิสมัย กล่าวถึงเรื่องการกระจายวัคซีนว่าขณะนี้อยู่บนพื้นฐานการใช้วัคซีนในภาวะฉุกเฉิน เมื่อมีข้อสงสัยว่าควรฉีดวัคซีนหรือไม่นั้น ขอชี้แจงว่าวัคซีนจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลดอัตราการใช้โรงพยาบาลและไอซียู แต่ยังไม่มีรายงานว่าการฉีดวัคซีนแล้วจะไม่เป็นการแพร่กระจายเชื้อ แต่ยืนยันว่าประชาชนควรฉีดวัคซีน และในปีนี้ตั้งเป้าจะฉีดให้ประชาชน 50 ล้านคน ส่วนที่มีผู้ฉีดวัคซีนแล้วมีผลข้างเคียงโดยมีอาการคล้ายอัมพฤกษ์นั้น จากการสอบสวนพบว่าบางรายมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง และชา เมื่อมีการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมองพบว่ามีอาการคล้ายอัมพฤกษ์ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน ขณะเดียวกันมีแพทย์ที่ยังมีความเห็นแย้งกันอยู่ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา จากนี้จะมีการสอบสวนต่อไปว่าจะมีข้อสรุปใดในอนาคต.- สำนักข่าวไทย