กสม. 20 เม.ย.-กสม.แถลงผลงานปี 63 เสนอแก้กม.ให้สอดคล้องหลักสิทธิมนุษยชน ติดตามพร้อมช่วยเหลือแกนนำม็อบ แต่การประกันตัวเป็นดุลยพินิจศาล
นายสุวัฒน์ เทพอารักษ์ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ แถลงผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 (ตุลาคม 2562-กันยายน 2563) เรื่องการตรวจสอบและรายงานข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสม.ได้รับเรื่องร้องเรียนกรณีกล่าวอ้างว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ทั้งสิ้น 465 เรื่อง เป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรม 170 เรื่อง
นายสุวัฒน์ กล่าวว่า กสม.ได้จัดทำรายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศ 4 ด้าน ประกอบด้วย ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ด้านสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ด้านกลุ่มบุคคล และประเด็นสิทธิมนุษยชนที่อยู่ในความห่วงใย นอกจากนี้ ยังประเมินสถานการณ์เฉพาะอีก 2 เรื่อง คือ การประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการประเมินสถานการณ์เกี่ยวกับเสรีภาพในการชุมนุม โดยได้เสนอรายงานต่อรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี(ครม.) แล้วเมื่อเดือนมีนาคม 2564
“กสม.จัดทำข้อเสนอแนะ การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน 6 เรื่อง ได้แก่ ปัญหาพนักงานจ้างเหมาบริการในหน่วยงานของรัฐที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการปฏิบัติงาน การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะของคนพิการ ผู้สูงอายุ ผลกระทบด้านการจราจรของโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี การยุติการตั้งครรภ์เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน และหลักสูตรสิทธิมนุษยชนศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย การจัดศึกษาวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และการบริการจัดการและพัฒนาองค์กร ซึ่งการแถลงผลดำเนินงานนั้น เป็นไปตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 26 และ มาตรา 27 ทำรายงานเสนอต่อรัฐบาลและรัฐสภา” นายสุวัฒน์ กล่าว
นายสุวัฒน์ กล่าวถึงปัญหาและอุปสรรคในกรดำเนินการมี 3 เรื่อง คือ 1.การจัดทำรายงานตามรัฐธรรมนูญมาตรา 247 (4) และ พ.ร.ป.กสม. ที่ให้ชี้แจงและรายงานสถานการณ์ที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมโดยไม่ชักช้านั้น ไม่สอดคล้องกับหน้าที่อำนาจของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือหลักปารีส ซึ่งเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติให้ยกเลิกและนำข้อบัญญัตินี้ออกจากกฎหมาย
“2.ข้อจำกัดด้านกฎหมายลูก ไม่ได้กำหนดหน้าที่และอำนาจในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านสิทธิมนุษยชนไว้ ที่กฎหมายฉบับเดิมปี 2542 เคยกำหนดไว้ ซึ่งถือว่าขาดอำนาจที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล ที่กำหนดว่า กสม.มีอำนาจกึ่งตุลาการควรแสวงหาแนวทางยุติปัญหาอย่างฉันท์มิตรผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ย และ 3. ปัญหาการการเนินการของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามข้อเสนอแนะในรายงานของ กสม. ที่ไม่ได้มีการตอบหรืออธิบายการดำเนินการ และไม่ได้แจ้งเหตุผลที่ไม่อาจดำเนินการได้” นายสุวัฒน์ กล่าว
ส่วนกรณีนายพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือ เพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร ที่อ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมในการดำเนินคดี นายสุวัฒน์ กล่าวว่า กสม.ห่วงใยและติดตามข้อมูลข่าวสารตลอด พร้อมส่งเจ้าหน้าที่ร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมทุกครั้ง ขณะเดียวกันตนลงพื้นที่ไปสังเกตการณ์และรายงานต่อคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นมาทุกสัปดาห์ นอกจากนี้ ยังเชิญผู้ชุมนุมและผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสื่อมวลชน นักวิชาการ มาร่วมให้ข้อมูล
“กสม.มีกระบวนการตรวจสอบและเร่งหาข้อสรุป ส่วนผู้ที่ถูกคุมขัง ส่งเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมที่เรือนจำเช่นเดียวกัน เพื่อติดตามถึงความเป็นอยู่ ซึ่งการจับกุมแกนนำต่างๆ ผมพยายามศึกษาว่าจะดำเนินการอย่างไรบ้าง ส่วนการประกันตัว เป็นดุลยพินิจของศาล ไม่ใช่อำนาจของกสม. แต่ได้ให้คณะทำงานเฝ้าระวังไปศึกษาว่าจะมีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง โดยติดตามและให้ความช่วยเหลือ” นายสุวัฒน์ กล่าว.-สำนักข่าวไทย