กรุงเทพฯ 1 มี.ค.- “คุณหญิงสุดารัตน์” หวั่นประชาชน ผิดหวังกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง หลังมีความพยายามยื่นศาล รธน.หยุดการแก้ไข ด้าน “พงศ์เทพ” ระบุ สสร.เลือกตั้ง จะยกร่างได้ดีกว่าปี 60
สถาบันสร้างอนาคตไทย จัดเสวนาแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 “ฝ่าด่านอรหันต์ หยุดกระบวนการล้มรัฐธรรมนูญประชาชน”
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานกลุ่มสร้างไทย ตั้งคำถามว่า เหตุใดการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ จึงทำได้ง่ายและไม่เคยมีความผิด แต่เมื่อประชาชนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญของของตนเองกลับยากเย็น โดยเห็นว่า สังคมอยู่ในช่วงเวลาที่ถูกหลอกให้มีความหวัง เช่นเดียวกับตอนร่างรัฐธรรมนูญปี 2560 ฝ่ายผู้มีอำนาจบอกให้ลงประชามติไปก่อน เพื่อจะได้มีการเลือกตั้ง
“ตอนนี้รัฐบาลกำลังเล่น 2 หน้า สร้างความหวังอีกครั้งว่า จะได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่ท้ายที่สุดประชาชนจะไม่ได้เป็นผู้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ส.ส.ร.จะไม่เกิด แต่กลุ่มเผด็จการ และ ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งจะเป็นผู้ได้แก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อความได้เปรียบและเสริมความแข็งแกร่งของตนเองให้มากขึ้น” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า ส.ส.บางคนที่โยนอำนาจของตนเองให้ผู้อื่นวินิจฉัย เป็นสิ่งที่น่าอับอายมาก ซึ่งนับแต่ทำงานการเมืองมา 29 ปี ไม่เคยเห็นว่า มีสมาชิกรัฐสภายุคไหนจะมีพฤติกรรมที่น่าอับอายเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่หลายส่วนในสังคมจึงตั้งคำถามว่า ส.ว.มีไว้ทำไม
ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยผลประโยชน์ประชาชน และควรมีคำวินิจฉัยออกมาก่อนการลงมติในวาระ 3
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุว่า รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ไม่มีมาตราใด บัญญัติว่า ไม่สามารถยกร่างฉบับใหม่ได้ ระบุเพียงแค่ห้ามเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐและระบอบการปกครองเท่านั้น จึงต้องตั้งคำถามว่า หากห้ามมิให้ยกร่างใหม่ทั้งฉบับเหตุใดไม่ระบุไว้ หรือหากมีการแก้ไขทุกมาตรายกเว้นเฉพาะเรื่องของรูปแบบของรัฐ รวมถึงรูปแบบการปกครอง มีความต่างกับการยกร่างใหม่ทั้งฉบับอย่างไร
นายพงศ์เทพ ยังเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญเข้าใจดีว่ารัฐสภาจะลงมติในวาระ 3 เมื่อใด และมีเวลาพอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยให้แล้วเสร็จ ก่อนที่รัฐสภาจะลงมติในวาระ 3 ซึ่งเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเข้าใจถึงความจำเป็น ไม่เช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล
“ไม่ว่าระบบการเลือกตั้ง ส.ส.ร.จะเป็นอย่างไร แต่ส.ส.ร.ที่ได้จะน่าเชื่อถือ และสามารถยกร่างได้ดีกว่าปี2560 และสุดท้ายประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน เพราะหาก ส.ส.ร.ยกร่างไม่ดีพอ ประชาชนก็จะลงมติไม่เห็นชอบ เพื่อให้เกิดกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่อีกครั้ง” นายพงศ์เทพ กล่าว
นายโภคิน พลกุล อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร กังวลว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังแก้ไขจะไม่ผ่านวาระ 3 ที่ผ่านมาตนเองได้ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญมายาวนาน ตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีที่มาจากประชาชน และถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดฉบับหนึ่งของประเทศ อย่างไรก็ตามจากวิกฤติทางการเมือง ที่ต่อเนื่องยาวนานกว่า 10 ปี จึงจำเป็นที่ต้องขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกัน เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดินหน้าได้ตามกระบวนการ นำพาประเทศเดินออกจากทางตัน ผลักดันให้เกิดร่างรัฐธรรมนูญโดยประชาชน และผ่านความเห็นชอบโดยประชาชน
ส่วนกรณีที่มี ส.ว.และ ส.ส. ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูวินิจฉัย ว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สามารถแก้ไขได้หรือไม่นั้น นายโภคิน กล่าวว่า คงต้องรอศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะวินิจฉัยออกมาเมื่อใด หากรัฐสภาให้ความเห็นชอบวาระที่ 3 ไปแล้ว จะไปสู่ขั้นตอนการลงประชามติ ซึ่งถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยหลังผ่านวาระ 3 ว่าการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำไม่ได้ ผลที่ตามมาจะทำให้ฝ่ายรัฐบาลร่วมกับ ส.ว. จะแก้ไขประเด็นใดก็ได้ และจะแก้ไขประเด็นที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายรัฐบาล เพราะฝ่ายค้านไม่มีอำนาจคานกับฝ่ายรัฐบาลและ ส.ว.ได้อีกต่อไป
ขณะที่นายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ จาก “iLaw” เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ทั้งหมด 200 คน ส่วนกรณีใช้เขตเลือกตั้งแบบ 1 เขต 1 คน รวม 200 เขต 200 คนนั้น ถือเป็นเรื่องน่าประหลาด และเชื่อว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นอีกมาก แต่เพื่อเป็นทางออกของปัญหา ศาลรัฐธรรมนูญควรมีคำวินิจฉัยออกมา ก่อนรัฐสภาลงมติวาระ 3 ส่วนกรณีที่ ส.ว.ยื่นคำร้องถึงศาลรัฐธรรมนูญ นายยิ่งชีพไม่แน่ใจว่า ส.ว.มีความกังวลในประเด็นใด หรืออาจกังวลว่าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตนเองจะหมดอำนาจ
อย่างไรก็ตาม หาก ส.ส.หรือ ส.ว.บางคนเห็นว่าไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ได้ ก็ให้ลงมติไม่ผ่านในวาระ 3 แล้วชี้แจงกับสังคมให้ได้ว่าเพราะเหตุใด ขออย่าใช้วิธียืมมือศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาช่วยเหลือ.-สำนักข่าวไทย