รัฐสภา 19 ก.พ.-อภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 4 ฝ่ายค้านชี้กองทัพใช้สื่อออนไลน์สร้างโจมตีฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล สร้างความเกลียดชังในหมู่ประชาชน จี้นายกฯ ตอบรู้เห็นหรือไม่
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล วันที่ 4 เริ่มต้นเวลา 09.00 น. มีนายสุชาติ ตันเจริญ ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม ทั้งนี้ ก่อนเริ่มอภิปรายนาย วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานประธานคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร(วิปรัฐบาล) ขอหารือที่ประชุมว่าฝ่ายค้านเหลือ 13 ชั่วโมงเศษ ซึ่งพร้อมให้อภิปรายเต็มที่ แต่ขอเวลาให้ฝั่งรัฐมนตรีชี้แจงด้วย หากจะอภิปรายรัฐมนตรีคนใด ขอให้แจ้งล่วงหน้า เพื่อให้ผู้ตอบเตรียมตัว เชื่อว่าความลับไม่รั่วไหล
นายณัฐวุฒิ บัวประทุม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ฝ่ายค้านขอเวลาอภิปราย 42 ชั่วโมง ขณะเหลือ 13 ชั่วโมงเศษ ซึ่งคงใช้เต็มตามกรอบเวลา และขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะชี้แจงมากน้อยเพียงใด แต่จะลองหารือกับวิปรัฐบาลเรื่องเงื่อนเวลาที่อาจยืดหยุ่นได้ ยืนยันว่าจำเป็นต้องรักษาเอกสิทธิ์การอภิปราย หากเปิดรายชื่อรัฐมนตรีที่จะอภิปรายก่อน ข้อมูลอาจจะรั่วไหล ขณะเดียวกัน ขอประธานตักเตือนส.ส. บางคนที่พูดจาเหยียดเพศ คุกคามทางเพศด้วย
นายสุชาติ ประธานในที่ประชุม กล่าวว่า เวลาของฝ่ายค้านเหลือเกือบ 14 ชั่วโมง หากดูสถานการณ์แล้วคืนนี้(19 ก.พ.) คงไม่จบก่อน 24.00 น.การลงมติอาจจะไม่ใช่พรุ่งนี้(20 ก.พ.) นอกจากตกลงกันอีกครั้งว่าทั้งสองฝ่ายจะพร้อมใจกันให้เสร็จภายในคืนนี้ ส่วนจะอภิปรายต่อพรุ่งนี้หรือไม่อย่างไร ต้องขอปรึกษานายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง และขอให้เห็นใจข้าราชการด้วยที่ต้องทำงานทั้งเสาร์และอาทิตย์ พร้อมเตือนเรื่องการใช้กิริยาวาจาให้เรียบร้อย อย่าใช้วาจาไม่สุภาพ เสียดสี กระแนะกระแหน เพราะเมื่อเรียกว่าสภาอันทรงเกียรติ สมาชิกต้องทำให้สมเกียรติด้วย
จากนั้นเริ่มการอภิปราย โดยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เปิดปฏิบัติการไอโอภาค 2 ที่ผู้บังคับบัญชาสั่งการให้ทหารทำสงครามกับประชาชนที่เห็นต่างในโลกออนไลน์ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะต้องเป็นผู้ชี้แจงเรื่องนี้ เพราะมีข้าราชการในกองทัพเข้าไปเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก แม้ว่าที่ผ่านมาพรรคก้าวไกลติดตามเรื่องนี้และสอบถามถึง 4 ครั้งผ่านกระบวนการสภา แต่ผู้เกี่ยวข้องกลับตอบว่าไม่มีปฏิบัติการดังกล่าว
“จากสิ่งที่เกิดขึ้นจึงขอตั้ง 3 ข้อกล่าวหากับพล.อ.ประยุทธ์ คือ1.ไม่ปฏิบัติตามคำแถลงนโยบายเร่งด่วน 12 ประการที่แถลงต่อสภา ในข้อที่ 7 ที่จะต้องการลดผลกระทบเชิงสังคมอาชญากรรมทางไซเบอร์ เพราะในทางตรงข้ามกลับปล่อยให้มีการเผยแพร่ข่าวปลอม สร้างวาทะกรรมเกลียดชัง กับผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลตรงข้ามรัฐบาล 2.จงใจปล่อยให้งบประมาณ เวลาราชการของบุคลากรรัฐ สร้างความเกลียดชังโจมตีพรรคฝ่ายค้าน นักสิทธิมนุษยชน และประชาชนทั่วไปที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐบาล 3.มีพฤติกรรมโกหกซ้ำซาก ปฏิเสธว่าไม่มีปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ ไอโอ ทั้งที่มีหลักฐานและเอกสารที่ยืนยันว่ามีทำไอโอจริง โดยที่นายกฯ เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังเพื่อรักษาอำนาจของตนเอง” นายณัฐชา กล่าว
นายณัฐชา ได้เปิดคลิปวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ การประชุมของมณฑลทหารบกที่ 21 โดยมีเนื้อหาสั่งการให้ตรวจสอบเพจและข้อมูลในโซเชียลของฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ที่โจมตีกองทัพ และสั่งให้ปฏิบัติการตอบโต้ข้อมูลข่าวสารกลับทันที ทั้งยังกำชับไม่ให้มีเอกสารการเงินหลุดออกมา ซึ่งคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นว่าผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติงานมองประชาชนเป็นศัตรู และนำเงินภาษีของประชาชนมาใช้ในวิธีการที่ไม่ถูกต้องกับคนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและทหาร
นายณัฐชา ได้เปิดเอกสารปฏิบัติการกลุ่มขาวดำ ซึ่งเป็นคำบรรยายของกองทัพเกี่ยวกับการจัดแบ่งงานโครงสร้างในการตอบโต้ปฏิบัติการไอโอ โดยใช้แอปพลิเคชัน Twitter และ LINE รวมทั้งจ้างบริษัทเอกชนผลิตสื่อ นอกจากนี้ ยังเปิดหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่านายทหารยศพันโท สังกัดกองทัพบก ใช้แอคเคาท์ Twitter ของตัวเอง เเต่เปลี่ยนเป็นชื่ออื่นใช้งาน ขณะเดียวกันมีทหารยศพลตรี ใช้ข้อความสั่งงานผู้ใต้บังคับบัญชา ทำไอโอโจมตี ใส่ร้าย กล่าวหาผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาล ซึ่งมองว่าไม่ใช่การทำหน้าที่หรือภารกิจของทหาร
นายณัฐชา ยังอภิปรายโจมตีการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์ และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี หรือ PMOC โดยนำหลักฐานมาแสดงว่าทั้ง 2 หน่วยงานผลิตถ้อยคำและสื่อเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม จึงอยากตั้งคำถามไปถึงนายกรัฐมนตรีว่าทราบหรือไม่ว่าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำการลักษณะนี้
ทั้งนี้ ระหว่างการอภิปรายของ นายณัฐชา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.พลังประชารัฐลุกขึ้นประท้วงบ่อยครั้งว่าผิดข้อบังคับการประชุม พูดนอกประเด็น เสียดสี
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงโดยย้ำว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่มีนโยบายสั่งการให้หน่วยทหารดำเนินการตามที่กล่าวหา ให้ร้าย เเต่ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันในโซเชียลมีข้อความที่ไม่ถูกต้อง เป็นเท็จ ก่อให้เกิดความเกลียดชัง แตกแยก มีผลกระทบต่อสถาบัน ความสงบเรียบร้อยอันดี และความมั่นคงของประเทศอยู่จริง ดังนั้น กองทัพจึงมีหน้าที่สร้างความเข้าใจให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน
“จากเอกสารที่นำมาเผยแพร่ เป็นความต้องการของกองทัพที่มองว่าทหารคือประชาชนคนหนึ่ง จึงต้องเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีอย่างเท่าทันและมีสติ จึงอบรมให้ความรู้กับบุคลากรและกำลังพล ให้ใช้สื่อโซเชียลอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งทำอย่างเปิดเผยไม่ได้ปิดบังบัญชีผู้ใช้ ส่วนปฏิบัติการขาวดำ เป็นการยกตัวอย่างการฝึกปฏิบัติทางการทหารให้เรียนรู้วิธีการ ไม่ได้มองว่าฝ่ายตรงข้ามคือประชาชน ขณะที่คลิปวีดีโอ conference ผมเพิ่งรู้และเห็น แต่ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าว.-สำนักข่าวไทย