รัฐสภามีมติส่งศาลตีความเรื่องแก้ รธน.

รัฐสภา 9 ก.พ.- รัฐสภาเห็นชอบญัตติ “ไพบูลย์” ขอให้ศาลวินิจฉัย การแก้ไข รธน. ขัด รธน.หรือไม่  เพื่อไทยซัด รัฐบาลพยายามขัดขวางการแก้ เพื่อประโยชน์ตัวเอง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมร่วมรัฐสภา ในวันนี้ (9ก.พ.) มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาเป็นประธานการประชุม โดยที่ประชุมมีวาระสำคัญในการพิจารณาญัตติด่วน ของนายไพบูลย์ นิติตะวัน  ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ที่ขอให้รัฐสภาพิจารณาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ของรัฐสภา เพื่อตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยอ้างว่ารัฐธรรมนูญให้ดำเนินการเพียงแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้เท่านั้น ทั้งนี้ที่ประชุมได้กำหนดให้สมาชิกได้อภิปรายเป็นเวลา 3 ชั่วโมง

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ให้เหตุผลในการเสนอญัตติ ว่าการยื่นญัตติครั้งนี้ ต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งหลังจากที่ตนเองได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานกรรมาธิการพิจารณาก่อนรับหลักการวาระแรก พบปัญหาข้อกฎหมายว่าตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2560 ไม่มีมาตราใดให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ มีเพียงแค่ให้อำนาจแก้ไขเพิ่มเติมเป็นรายมาตราเท่านั้น ต่างจากรัฐธรรมนูญปี 2557 ที่กำหนดไว้ชัดเจนอีกทั้งประเด็นนี้ยังมีความเห็นแตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนและอาจส่งผลต่อการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ 3 ได้ โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา ที่อาจจะไม่ให้ความเห็นชอบหากไม่มีความชัดเจนเรื่องนี้ จึงจำเป็นต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ชัดเจนก่อนที่จะมีการทำประชามติ เพราะหากยื่นหลังจากทำประชามติและเกิดปัญหาขัดรัฐธรรมนูญขึ้นจริง จะทำให้การทำประชามติที่ต้องใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาทนั้นเสียเปล่า ประกอบกับ สำนักงานกฤษฎีกาเห็นว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญที่จะต้องวินิจฉัย เพื่อให้ได้ข้อยุติจึงขอให้สมาชิกลงมติส่งเรื่องนี้ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยด่วนด้วย


ด้านนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางความไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะมีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญจริงหรือไม่ เพราะแม้นายกรัฐมนตรีจะพูดสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับเกิดเหตุการณ์ย้อนแย้งอย่างไม่คาดคิดถึง 2 ครั้งติดต่อกัน เห็นได้จากการพิจารณารับหลักการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระแรก กลับมีการเสนอญัตติขอตั้งกรรมาธิการขึ้นมาใช้เวลาตรวจสอบญัตติก่อนรับหลักการอยู่ระยะหนึ่งมาแล้ว ทั้งที่เป็นญัตติที่เสนอจากฝ่ายรัฐบาลเอง แต่กลับมาขอตรวจสอบร่างกฎหมายกันเอง อีกเรื่องคือการที่ ส.ส. รัฐบาลลงนามเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญเอง แต่กลับมาขอให้รัฐสภาส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ตนเองลงนามเสนอมาเองนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ทำให้เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมดังกล่าวเป็นความพยายามขัดขวางให้การแก้รัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยความล่าช้า เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือไม่ โดยไม่สนใจประเทศชาติและประชาชน ส่วนที่อ้างว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจเพียงการแก้ไขรายมาตรานั้น ส่วนตัวยืนยันว่าการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาขณะนี้ เป็นกระบวนการที่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นไปตามกระบวนการใน ในมาตรา 256 ถือว่าเป็นการทำตามหน้าที่โดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว

ด้านนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่าการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้เพื่อต้องการให้การเมืองมีเสถียรภาพ และการพิจารณาในชั้นกรรมาธิการได้มีศึกษาอย่างรอบด้านว่า การ ตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ดำเนินการโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญแล้ว ส่วนที่อ้างว่าศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยเรื่องนี้ไว้เป็นบรรทัดฐานเมื่อปี2555 แล้วนั้น ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มีการศึกษาคำวินิจฉัยแล้วพบว่าคำวินิจฉัยดังกล่าว เป็นการวินิจฉัยไปตามบริบทของรัฐธรรมนูญปี 2550 และสภาพทางการเมืองขณะนั้นมีความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อไม่ให้เป็นไปตามครรลองในระบอบประชาธิปไตยอีกทั้งกระบวนการแก้ไขยังมิชอบเพราะมีปัญหาการเสียบบัตรแทนกัน  ซึ่งต่างจากสถานการณ์ในขณะนี้ ที่ดำเนินการตามกระบวนการตามรัฐธรรมนูญ 2560 และการแก้ไขครั้งนี้ ดำเนินการเพียง 2 หลักการเท่านั้น ได้แก่การแก้เงื่อนไข ที่ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ง่ายขึ้น และหลักการที่ 2 คือการให้ มี ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญ โดยไม่ไปแตะต้อง เนื้อหาหมวด 1 และหมวด 2 

นายนิกร จำนง สมาชิกรัฐสภา อภิปรายคัดค้านญัตติดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่า รัฐสภาต้องรักษาอำนาจนิติบัญญัติให้ดี เพื่อเป็นหลักในการคานอำนาจ หากรักษาไว้ไม่ได้จะสูญเสียกลไกของระบบประชาธิปไตยอาจจะนำไปสู่การล่มสลายของระบบประชาธิปไตย อีกทั้งการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญเพื่อประเทศชาติและประชาชนโดยรวม ไม่ใช่เพื่อบุคคลใดหรือพรรคการเมืองใด รวมถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจที่รัฐสภากระทำได้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญปี 2560 อีกทั้งการแก้ไขมาตรา 256 เป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น จะส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ได้ 


นายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม สมาชิกรัฐสภา เห็นด้วยที่จะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญตีความ เนื่องจาก เกิดข้อถกเถียงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกรณีดังกล่าวไม่สามารถใช้เสียงข้างมากตัดสินได้ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพราะถือว่ามีผลผูกพันทุกองค์และหากเกิดการใช้อำนาจโดยไม่ชอบจะให้เกิดความเสียหายต่อประเทศ

อย่างไรก็ตามการพิจารณาในวันนี้ (9ก.พ.)  ส.ส. พรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกวุฒิสภา มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ขณะที่พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เห็นด้วยกับฝ่ายค้านว่าไม่ควรส่งศาล เนื่องจาก รัฐธรรมนูญต้องผ่านความเห็นชอบของประชาชนโดยการทำประชามติ ก่อนที่จะนำไปสู่การแต่งตั้ง สภาร่างรัฐธรรมนูญ อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เกิดจากสถานการณ์การเมืองไม่มีเสถียรภาพ และเพื่อให้คณะกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เดินหน้าแก้ปัญหาการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากที่ได้มีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวางแล้วที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบกับญัตติด่วน ของนายไพบูลย์ และนายสมชาย ด้วยคะแนน 366 ต่อ 315 งดออกเสียง 15 เสียง

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเสียงการลงมติ ส่วนใหญ่เสียงที่เห็นด้วย คือ พรรคพลังประชารัฐ และ ส.ว. ส่วนที่ลงมติไม่เห็นด้วย คือ ฝ่ายค้านทั้งหมด ทั้งพรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา ยกเว้น นายอภิชัย เตชะอุบล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ที่ไปลงมติเห็นด้วยกับพรรคพลังประชารัฐ ส่วนบุคคลที่งดออกเสียงทั้ง 15 เสียง แบ่งเป็น 3 ฝ่าย อาทิ พรรคชาติพัฒนา 4 เสียง พรรคเศรษฐกิจใหม่ 4 เสียง และ ส.ว.บางส่วน อาทิ นายคำนูญ สิทธิสมาน นายนวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เป็นต้น.- สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]