สำนักข่าวไทย 31 ม.ค.-อ.ปริญญา ยก 4 ข้อกฎหมาย อธิบายปัญหาจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุซ้ำซ้อน หากเป็นการรับเงินไปโดยสุจริต และใช้เงินหมดแล้วไม่ต้องจ่ายคืนรัฐ แนะอย่าไปเซ็นยินยอมรับสภาพหนี้ หรือผ่อนจ่ายรายเดือน
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงกรณีกรมบัญชีกลาง-องค์กรปกครองท้องถิ่น เรียกเงินเบี้ยยังชีพคืนจากผู้สูงอายุ โดยอ้างเหตุผลว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่ออกใหม่กำหนดว่า ผู้สูงอายุจะได้รับเบี้ยยังชีพต่อเมื่อไม่ได้รับเงินช่วยเหลือในทางอื่น ดังนั้น ผู้สูงอายุรายใดได้รับเงินช่วยเหลือทางอื่นด้วยแล้วจึงไม่มีสิทธิได้เบี้ยยังชีพอีก เมื่อรับไปแล้วจึงต้องคืนซึ่งจำนวนเงินที่เรียกคืนสูงหลายหมื่นจนเป็นแสนบาทเลยนั้น ตามหลักแห่งความยุติธรรมแล้วเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง และไม่ใช่เรื่องที่ผู้สูงอายุที่รับเบี้ยยังชีพไปโดยสุจริต และใช้จ่ายในการยังชีพไปแล้วจะต้องคืนเงิน เนื่องจาก 1.ระเบียบกระทรวงมหาดไทยที่ออกใหม่ในปี 2552 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552 ซึ่งข้อ 6 (4) กำหนดว่า ผู้มีสิทธิที่จะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะต้อง “ไม่เป็นผู้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น ผู้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน” ซึ่งหลักเกณฑ์เดิมของกระทรวงมหาดไทย (ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548) ไม่มีข้อกำหนดตรงนี้ กรมบัญชีกลางไปเจอตรงนี้เข้าจึงแจ้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งเทศบาล และ อบต. ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่จ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุ ให้เรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุ และโดยที่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบับนี้ประกาศใช้วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ.2552 การเรียกคืนจึงย้อนไปถึงปี 2552 จำนวนเงินที่เรียกคืนจึงสูงหลายหมื่นบาทจนถึงเป็นแสนบาทอย่างน่าตกใจ
- แต่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเบี้ยยังชีพฯ ปี 2552 มีบทเฉพาะกาล ซึ่งข้อ 6 เขียนว่า “ระเบียบนี้มิให้กระทบต่อสิทธิผู้สูงอายุ ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 ที่มีอยู่ก่อนหรือในวันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ และให้ถือว่าผู้สูงอายุดังกล่าวเป็นผู้ได้ลงทะเบียนและยื่นคำขอรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามระเบียบนี้แล้ว” หมายความว่า ระเบียบกระทรวงมหาดไทยปี 2552 ใช้กับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพหลังระเบียบฉบับนี้ประกาศใช้ คือตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2552 เป็นต้นมา ดังนั้นผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนรับเบี้ยยังชีพก่อนหน้านั้น คือ ก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2552 แม้จะได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็ยังคงมีสิทธิรับเบี้ยยังชีพต่อไป และดังนั้นจึงไม่ต้องคืนเงิน
- แล้วผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2552 เป็นต้นมา ที่ได้สวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยแล้วจะต้องทำอย่างไร เรื่องนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาวางบรรทัดฐานไว้แล้วว่า เป็นเรื่องลาภมิควรได้ ซึ่งหลักตามมาตรา 412 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คือ หากเป็นการรับเงินไปโดยสุจริต (คือไม่ทราบเรื่องระเบียบใหม่ปี 2552) ถ้าใช้เงินนั้นหมดไปแล้วก็ไม่ต้องคืน เรื่องนี้เป็นแน่ชัดว่า ผู้สูงอายุที่รับเงินกันไปโดยสุจริต เพราะจะไปรู้เรื่องระเบียบใหม่ได้อย่างไร ดังนั้นถ้าใช้เบี้ยยังชีพหมดไปแล้วก็ไม่ต้องคืน ว่าง่ายๆ เรื่องนี้ถ้าถึงศาลองค์กรปกครองท้องถิ่นที่ทวงเงินแพ้แน่นอน เรื่องนี้เป็นเรื่องเงินของรัฐ ไม่ใช่เรื่องเจ้าหนี้ลูกหนี้ตามกฎหมายแพ่ง รัฐบาลจึงต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหา ไม่ต้องให้ไปฟ้องร้องกันในศาล
- ประเด็นสำคัญที่สุดที่อยากจะเขียน คือ คนที่ผิดในเรื่องนี้คือหน่วยงานของรัฐด้วยกันต่างหาก ทั้งกรมบัญชีกลาง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไม่ดูระเบียบใหม่ปี 2552 และที่น่าจะผิดมากกว่า คือ กรมบัญชีกลาง เพราะระเบียบใหม่ประกาศตั้งแต่ปี 2552 ทำไมจึงเพิ่งมาทวง และที่สำคัญทำไมถึงไปแจ้งให้องค์กรปกครองท้องถิ่นไปเรียกเงินคืนจากผู้สูงอายุ ทั้งๆ ที่ผู้สูงอายุรับเงินโดยสุจริต ไม่ได้มีเจตนาจะหลอกเอาเงินจากหน่วยงานของรัฐแต่ประการใด เรื่องนี้เป็นความผิดพลาดของหน่วยงานของรัฐกันเอง ทำไมกรมบัญชีกลางไม่หาทางอื่นในการแก้ปัญหา ทำไมถึงผลักภาระความผิดพลาดของตนไปให้ประชาชนเช่นนี้
ดังนั้น ผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนก่อนวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ไม่ต้องคืนเงินเบี้ยยังชีพ ส่วนผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2552 เป็นต้นมา ในเมื่อไม่ทราบเรื่องระเบียบใหม่ปี 2552 จึงเป็นการรับเบี้ยยังชีพโดยสุจริตเมื่อใช้หมดไปแล้วก็ไม่ต้องคืน วอนรัฐบาลต้องรีบแก้ปัญหา สั่งการไปที่กรมบัญชีกลาง และกระทรวงมหาดไทย อย่าให้เทศบาล และ อบต. ไปทวงเงินกับผู้สูงอายุอีก พร้อมแนะนำว่า ผู้สูงอายุอย่าไปเซ็นยินยอมรับสภาพหนี้ หรือผ่อนจ่ายรายเดือน แต่หากเซ็นยินยอมไปแล้ว ไม่ต้องกลัว เพราะตามข้อกฎหมายไม่ต้องคืนเงิน แม้จะมีการไปฟ้องร้อง เจ้าหน้าที่รัฐ องค์กรปกครองท้องถิ่นแพ้แน่นอน.-สำนักข่าวไทย