ย้ำผู้ติดเชื้อที่ไม่มีแอปหมอชนะโทษทั้งคุกทั้งปรับ

ทำเนียบรัฐบาล 7 ม.ค.-โฆษก ศบค.แถลงป่วยเพิ่ม 305 ราย ตาย 1 แจงเหตุจำเป็นประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ย้ำโหลดแอปหมอชนะ โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อ ถ้าไม่มีถือละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิก-19 : ศบค.) ชี้แจงความจำเป็นการประกาศพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 17 ที่นายกรัฐมนตรีลงนามวานนี้ (6 ม.ค.) ว่า เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการจากเบาไปหาหนัก 3 ข้อใหญ่คือ 1.ยกระดับมาตรการบังคับใช้ควบคุมโรค รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ และที่สำคัญต้องติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะไว้ควบคู่กับแอปพลเคชันไทยชนะด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อ เนื่องจากจะทำให้ติดตามไทม์ไลน์ได้

“2. การยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุด ที่จำเป็นต้องมีมาตรการเข้มงวดอย่างยิ่งใน 5 จังหวัด คือ จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยองและสมุทรสาคร โดยตรวจสอบและควบคุมการใช้เส้นทางคมนาคมในการเดินทางเข้า-ออก ไป 5 จังหวัด ตั้งจุดตรวจจุดสกัด เพื่อคัดกรองการเดินทางและต้องติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ผู้ที่จะเดินทางต้องแสดงเหตุผลความจำเป็น แสดงบัตรประชาชนควบคู่เอกสารรับรองความจำเป็นที่ออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 3.ปราบปรามและลงโทษผู้กระทำผิดอันเป็นเหตุให้เกิดการระบาดของโรค ทั้งกรณีขนย้ายแรงงานต่างประเทศ และเปิดบ่อนการพนัน ซึ่งเป็นต้นตอของการระบาด โดยกำชับเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลดำเนินการและเสนอมาตรการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ให้ ศปม.หน่วยงานความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบผู้ปฏิบัติการกวดขันสอดส่องเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และมั่วสุมเล่นพนัน สนับสนุนให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบแจ้งเบาะแสผ่านศบค. ที่สายด่วน 1111” โฆษกศบค. กล่าว


นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ศบค.มท. ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด แจ้งให้แต่ละจังหวัดดำเนินการ โดยมีสาระสำคัญคือให้ ตั้งจุดตรวจด่านตรวจคมนาคมเส้นทางหลักในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัด โดยให้ผู้ว่าฯ บูรณาการประสานกับหน่วยงานความมั่นคงและตำรวจ ส่วนการตั้งจุดตรวจเส้นทางรองให้ผู้ว่าฯ มอบ กำนันผู้ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคัดกรองตามความเหมาะสม รวมถึงประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด เว้นแต่มีความจำเป็น ต้องแสดงเหตุผลและหลักฐานและตรวจคัดกรอง และทำตามมาตรการคัดกรองที่ราชการกำหนด

“ใน 5 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดเข้มงวด มีมาตราการเพิ่มคือ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ สอบถามความจำเป็นและสอบถามสถานที่ปลายทางให้ชัดเจน ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ตรวจสอบเอกสารรับรองความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่การติดต่อราชการ และบันทึกข้อมูลของผู้เดินทาง ส่วนอีก 23 จังหวัด ไม่ต้องมีเอกสารรับรอง และอีก 49 จังหวัด เพียงแค่วัดอุณหภูมิและสอบถามความจำเป็นในการเดินทาง ซึ่งทั้งหมดอาจทำให้ยุ่งยากมากขึ้น แต่ไม่ได้ห้ามเดินทางหรือประกาศเคอร์ฟิว ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลในเว็บไซต์กระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลและมาตรการของจังหวัดต่าง ๆ ไว้ว่าหากจะต้องเดินทาง จะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนเรื่องการทำงานที่บ้าน หรือ work from home ลดการพบปะกันเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค และเน้นย้ำเรื่องหน้ากากผ้าว่ามีความจำเป็น ซึ่งยิ่งใช้ยิ่งนุ่ม มีคุณภาพกรองละอองฝอยละเอียดมากขึ้น ไม่เปลืองเงินซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์


“สำหรับยอดผู้ป่วย วันนี้ (7 ม.ค.) พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 305 ราย รวมสะสม 9,636 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 คน เป็นชาย อายุ 88 ปี เป็นผู้ป่วยมะเร็งติดเตียงอยู่แล้ว และติดเชื้อโควิดจากลูกชายที่ไปพื้นที่เสี่ยงจังหวัดระยอง แล้วเดินทางมาเยี่ยมเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยผู้ติดเชื้อมีอาการไอ มีเสมหะ ถ่ายเหลว เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ระยองวันที่ 2 มกราคม ตรวจพบเชื้อ วันที่ 3 มกราคม มีอาการแย่ลงและเสียชีวิตวานนี้( 6 ม.ค.)” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในจำนวน 305 ราย ติดเชื้อในประเทศ 193 ราย ติดเชื้อจากการคัดกรองเชิงรุกติดเชื้อในแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 109 ราย เดินทางจากต่างประเทศ 3 ราย แบ่งเป็นติดเชื้อในประเทศ 7,551 ราย กลุ่มแรงงานต่างด้าว 2,684 ราย หายแล้ว 4,521 ราย ทั้งนี้ ระหว่างแถลงข่าวมีรายงานว่าจังหวัดบุรีรัมย์ตีไข่แตกแล้ว พบผู้ป่วยโควิด ซึ่งจะแถลงให้ทราบต่อไป

โฆษกศบค. ยกตัวอย่างจำนวนผู้ติดเชื้อที่จังหวัดนนทบุรี สะสม 111 ราย กระจายไป 6 อำเภอ มีประวัติเสี่ยงไปตลาด 53 ราย ไปสมุทรสาคร 21 ราย สัมผัสผู้ป่วยเดิม 9 ราย ไปสถานบันเทิง 6 ราย ไประยอง 2 ราย และอื่น ๆ 15 ราย ซึ่งหากจังหวัดอื่น ๆ ศึกษาและวิเคราะห์ความเสี่ยงในแต่ละจังหวัดได้ จะสามารถหาพื้นที่ปลอดภัย ป้องกันการกระจายของเชื้อได้ ส่วนที่จังหวัดสมุทรสาคร วันนี้มีจำนวนผู้ป่วยแตะ 3,000 ราย อย่างไรก็ตาม มีข่าวดีคือพื้นที่สีขาว ไม่พบผู้ป่วย 14 วัน เช่น ระนอง ตรัง กำแพงเพชร และสงขลา อาจจะนำออกจากตารางจังหวัดที่พบผู้ป่วย

นพ.ทวีศิลป์ ตอบคำถามที่ว่าทำไมบางจังหวัดไม่เปิดไทม์ไลน์ผู้ป่วย ว่า ถ้ามีจำนวนไม่มาก ควรจะเปิดเผย เพื่อให้ประชาชนรับทราบประวัติความเสี่ยงในการติดต่อ แต่เมื่อมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ต้องรอการทำประวัติไทม์ไลน์ที่อาจยังไม่เสร็จ หรือพยายามทำอยู่ แต่คนให้ข้อมูลไม่ร่วมมือ ซึ่งเป็นปัญหาเพราะเชื่อมโยงกับการทำผิดกฎหมาย เช่น บ่อนพนัน
“ต่อไปนี้ใครที่ติดเชื้อโควิดแล้วพบว่าไม่โหลดแอปหมอชนะ จะถือว่าละเมิดข้อกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากจงใจปกปิดข้อมูลการเดินทาง ปกปิดไทม์ไลน์ ถือว่ามีความผิดด้วย” โฆษกศบค. กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงการขอเอกสารการเดินทางทำให้คนมารวมตัวกันจำนวนมาก ว่า ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ หรือนายจ้างเอกชน สามารถออกให้ได้ เช่น รถส่งของ ให้นายจ้างออกใบรับรองให้ว่ารถจะต้องวิ่งเส้นทางใดบ้าง ในแต่ละวัน ซึ่งในอนาคตทุกคนต้องใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ ไม่เช่นนั้นอาจมีบทลงโทษ

เมื่อถามว่าจะมีวัคซีนที่รัฐจัดให้จำนวนหนึ่ง แต่จะเปิดโอกาสให้เอกชนนำเข้ามาได้หรือไม่ โฆษกศบค. กล่าวว่า สามารถทำได้ รัฐไม่ได้ปิดกั้น แต่ต้องทำให้ถูกกระบวนการ ตามกติกา โดยต้องขึ้นทะเบียนรับรองจากต่างประเทศและองค์การอาหารและยา(อย.) ของไทยด้วย ทั้งนี้ ไม่ให้ประกาศให้ประชาชนจองหรือโฆษณาก่อนขออนุญาต

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงการสร้างโรงพยาบาลสนาม ว่า นายกรัฐมนนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีหลักการตรงกันที่ต้องการให้มีทุกจังหวัด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ในอนาคตที่เลวร้ายที่สุด ให้การดูแลประชาชนในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศเท่าเทียมกัน ขอประชาชนอย่าตกใจ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ป่วยที่จังหวัดสมุทรสาคร 80% ไม่มีอาการ ที่จะให้มาใช้โรงพยาบาลสนามให้อยู่ด้วยกัน เพื่อประหยัดทรัพยากร โครงสร้างและระบบบำบัด ดีกว่าให้ไปแพร่เชื้อ โรคนี้ 10% อาการหนัก และ1-2% เสียชีวิต จึงต้องสร้างห้องพิเศษให้นอน ซึ่งมีอยู่แล้ว

“วันนี้เราได้รับความเห็นใจแรงงานที่มาอยู่กับเรา ผู้ป่วยก็ไม่ได้เป็นที่น่ารังเกียจ เขาเป็นพี่น้องเรา ญาติเรา ป่วยรักษาก็หาย สัปดาห์นี้ สัปดาห์หน้าเอาให้พรึ่บทั้งประเทศให้มีพลังเหมือนประเทศจีนที่ทำขึ้นมา รัฐ เอกชน ประชาชนเข้าใจกัน เราสู้โควิด ชนะแน่ ขอแรงกายแรงใจจากประชาชนทุกคนส่งไปยังแพทย์ที่มาจากทั่วประเทศ ที่ไปช่วยดูแลผู้ป่วยหลายพันคนที่สมุทรสาคร ที่ต้องทำงานเป็นนักรบแนวหน้า ด้วยการให้ทุกคนเว้นระยะห่าง” ทั้งนี้ โฆษกศบค.ได้นำภาพรถสองแถวที่นำฟิวเจอร์บอร์ดมากั้นแต่ละที่ ซึ่งสามารถเป็นตัวอย่างนำไปปฏิบัติต่อได้ .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ตร.แจ้ง 2 ข้อหามือมีดทำร้าย “เป๊ก” คาดปมเข้าใจผิด

3 ส.ค.- ตำรวจ สน.หัวหมาก แจ้ง 2 ข้อหา หนุ่มวัย 21 ใช้มีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” นักร้องชื่อดัง บาดเจ็บที่คางเป็นแผลฉกรรจ์ อ้างถูกหาเรื่องก่อน เบื้องต้นคาดปมเข้าใจผิด จ่อสอบปากคำเพิ่มเติม เมื่อเวลา 01.30 น. วันที่ 3 ส.ค.68 ร.ต.อ.ชัยนรินทร์ กวีพราหมณ์ รอง.สว.(สอบสวน) สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธมีด มีผู้บาดเจ็บ ภายในปั๊มน้ำมัน ซอยรามคำแหง 76 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. จึงไปตรวจสอบพร้อมกำลังสายตรวจฝ่ายป้องกันและปราบปราม สน.หัวหมาก และอาสามูลนิธิสยามร่วมใจปู่อินทร์ ที่เกิดเหตุอยู่ภายในปั๊มน้ำมัน พบร่างนายผลิตโชค หรือ เป๊ก อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง มีบาดแผลฉกรรจ์ถูกอาวุธมีดฟันเข้าที่บริเวณใต้คาง 1 แผล ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่จึงเร่งทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนเร่งนำตัวส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลสมิติเวช ส่วนผู้ก่อเหตุไม่หนีไปไหน ยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ […]

เฝ้าระวังตลอดคืน พบโดรนปริศนาบินล้ำเขตแดนอรัญฯ

สระแก้ว 3 ส.ค.- พบโดรนปริศนาไม่ทราบฝ่ายบินล้ำแดนจากกัมพูชาเข้ามาในไทย ชาวบ้าน-ชรบ.ในพื้นที่อรัญประเทศ จ.สระแก้ว เฝ้าระวังตลอดทั้งคืน คืนที่ผ่านมา เวลา 21.00 น. ทีมข่าวลงพื้นที่สำรวจบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยจุดที่ทีมข่าวเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ห่างจากแนวชายแดนเพียง 2 กิโลเมตร บรรยากาศในพื้นที่ขณะนั้นมีชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ออกมาคอยเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับแจ้งว่าอาจมีโดรนปริศนาเข้ามาในพื้นที่ ระหว่างที่ทีมข่าวกำลังสัมภาษณ์พูดคุยกับชาวบ้านในพื้นที่ พบโดรนลำหนึ่งบินเข้ามาจากเขตชายแดนฝั่งกัมพูชา ล้ำเข้ามาในอาณาเขตประเทศไทยลึกประมาณ 2 กิโลเมตร ขณะที่โดรนลำนั้นลอยอยู่เหนือพื้นที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงได้ใช้ไฟสปอร์ตไลต์กำลังแรงสูงร่วมกับแสงเลเซอร์จากอุปกรณ์ของทหาร ส่องไปยังโดรนปริศนาอย่างชัดเจน ทำให้เห็นลำตัวของโดรนแม้อยู่ในความมืด สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวยังไม่มีการเปิดเผยว่าโดรนลำนั้นมีเป้าหมายใดหรือเป็นของฝ่ายใด ขณะที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงยังคงเพิ่มมาตรการตรวจตราและเฝ้าระวังตลอดแนวชายแดนอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิดหรือภัยคุกคามความมั่นคงในพื้นที่ -สำนักข่าวไทย

เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ

3 ส.ค. – เปิดภาพทหารไทยบึ้มบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ สกัดเส้นทางขึ้นภูมะเขือ ห้วงปะทะวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา วันนี้ (3 ส.ค.68) ผู้สื่อข่าวรายงานเหตุปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา เมื่อวันที่ 24-28 ก.ค.ที่ผ่านมา ทหารได้ทำลายบันไดช่องคานม้า จ.ศรีสะเกษ ซึ่งสามารถขึ้นมาถึงภูมะเขือได้ หลังทหารไทยเข้ายึดพื้นที่ภูมะเขือ ผลักดันทหารกัมพูชาอยู่บนจะงอยหน้าผาออกไปทั้งหมด พร้อมทำลายกระเช้า และฐานทหารกัมพูชาด้านล่างภูมะเขือ โดยการใช้โดรนติดระเบิด ล่าสุดมีการเผยแพร่ภาพทหารทำลายบันไดช่องคานม้า ในระหว่างยึดพื้นที่ได้จากการเหตุปะทะช่วง 5 วันที่ผ่านมา.-สำนักข่าวไทย

ชาวเชียงใหม่ร่วมจุดเทียนสดุดี 15 วีรบุรุษชายแดน

3 ส.ค.- ชาวเชียงใหม่ ร่วมกันจุดเทียน แสดงความไว้อาลัย สดุดี 15 วีรบุรุษทหารที่พลีชีพปกป้องแผ่นดินไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่บริเวณ หน้าลานอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ตัวเมืองเชียงใหม่ ประชาชนได้รวมตัวทำกิจกรรมร้องเพลง เขียนข้อความ พร้อมโบกธงชาติไทย เพื่อส่งกำลังใจให้กับทหารที่อยู่แนวหน้า ชายแดนไทย-กัมพูชา และร่วมกันร้องเพลงชาติไทย เพื่อเป็นการสดุดีทหาร 15 นายที่พลีชีพในการสู้รบปกป้องอธิปไตย อีกทั้งอ่านรายชื่อทหาร วางพวงหรีดและจุดเทียน แสดงความไว้อาลัยพร้อมทั้งยืนสงบนิ่ง อธิฐานขอให้เจ้าหน้าที่ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ชายแดนไทย-กัมพูชา ปลอดภัยทุกนาย นอกจากนี้ บริเวณย่านถนนท่าแพ หน้าอาคารพุทธสถานเชียงใหม่ มีการนำภาพทหารที่เสียชีวิตทั้ง 15 นายติดไว้ริมถนนและมีการตั้งโต๊ะเพื่อให้ประชาชน มาวางดอกไม้ แสดงความอาลัย -สำนักข่าวไทย