ทำเนียบรัฐบาล 7 ม.ค.-โฆษก ศบค.แถลงป่วยเพิ่ม 305 ราย ตาย 1 แจงเหตุจำเป็นประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ย้ำโหลดแอปหมอชนะ โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อ ถ้าไม่มีถือละเมิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิก-19 : ศบค.) ชี้แจงความจำเป็นการประกาศพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 17 ที่นายกรัฐมนตรีลงนามวานนี้ (6 ม.ค.) ว่า เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการจากเบาไปหาหนัก 3 ข้อใหญ่คือ 1.ยกระดับมาตรการบังคับใช้ควบคุมโรค รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ ตรวจวัดอุณหภูมิ และที่สำคัญต้องติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะไว้ควบคู่กับแอปพลเคชันไทยชนะด้วย โดยเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อ เนื่องจากจะทำให้ติดตามไทม์ไลน์ได้
“2. การยกระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุด ที่จำเป็นต้องมีมาตรการเข้มงวดอย่างยิ่งใน 5 จังหวัด คือ จันทบุรี ชลบุรี ตราด ระยองและสมุทรสาคร โดยตรวจสอบและควบคุมการใช้เส้นทางคมนาคมในการเดินทางเข้า-ออก ไป 5 จังหวัด ตั้งจุดตรวจจุดสกัด เพื่อคัดกรองการเดินทางและต้องติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ผู้ที่จะเดินทางต้องแสดงเหตุผลความจำเป็น แสดงบัตรประชาชนควบคู่เอกสารรับรองความจำเป็นที่ออกโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ และ 3.ปราบปรามและลงโทษผู้กระทำผิดอันเป็นเหตุให้เกิดการระบาดของโรค ทั้งกรณีขนย้ายแรงงานต่างประเทศ และเปิดบ่อนการพนัน ซึ่งเป็นต้นตอของการระบาด โดยกำชับเจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลดำเนินการและเสนอมาตรการป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก ให้ ศปม.หน่วยงานความมั่นคงและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบผู้ปฏิบัติการกวดขันสอดส่องเฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และมั่วสุมเล่นพนัน สนับสนุนให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบแจ้งเบาะแสผ่านศบค. ที่สายด่วน 1111” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ศบค.มท. ได้ออกประกาศกระทรวงมหาดไทยไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด แจ้งให้แต่ละจังหวัดดำเนินการ โดยมีสาระสำคัญคือให้ ตั้งจุดตรวจด่านตรวจคมนาคมเส้นทางหลักในพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัด โดยให้ผู้ว่าฯ บูรณาการประสานกับหน่วยงานความมั่นคงและตำรวจ ส่วนการตั้งจุดตรวจเส้นทางรองให้ผู้ว่าฯ มอบ กำนันผู้ใหญ่บ้านและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นคัดกรองตามความเหมาะสม รวมถึงประชาสัมพันธ์ทุกช่องทางให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ขอความร่วมมือให้ประชาชนงดหรือชะลอการเดินทางข้ามจังหวัด เว้นแต่มีความจำเป็น ต้องแสดงเหตุผลและหลักฐานและตรวจคัดกรอง และทำตามมาตรการคัดกรองที่ราชการกำหนด
“ใน 5 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดเข้มงวด มีมาตราการเพิ่มคือ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ สอบถามความจำเป็นและสอบถามสถานที่ปลายทางให้ชัดเจน ต้องติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ตรวจสอบเอกสารรับรองความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่การติดต่อราชการ และบันทึกข้อมูลของผู้เดินทาง ส่วนอีก 23 จังหวัด ไม่ต้องมีเอกสารรับรอง และอีก 49 จังหวัด เพียงแค่วัดอุณหภูมิและสอบถามความจำเป็นในการเดินทาง ซึ่งทั้งหมดอาจทำให้ยุ่งยากมากขึ้น แต่ไม่ได้ห้ามเดินทางหรือประกาศเคอร์ฟิว ทั้งนี้ สามารถติดตามข้อมูลในเว็บไซต์กระทรวงมหาดไทย ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลและมาตรการของจังหวัดต่าง ๆ ไว้ว่าหากจะต้องเดินทาง จะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ขอให้ทุกหน่วยงานสนับสนุนเรื่องการทำงานที่บ้าน หรือ work from home ลดการพบปะกันเพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค และเน้นย้ำเรื่องหน้ากากผ้าว่ามีความจำเป็น ซึ่งยิ่งใช้ยิ่งนุ่ม มีคุณภาพกรองละอองฝอยละเอียดมากขึ้น ไม่เปลืองเงินซื้อหน้ากากอนามัยทางการแพทย์
“สำหรับยอดผู้ป่วย วันนี้ (7 ม.ค.) พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่ม 305 ราย รวมสะสม 9,636 ราย เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 1 คน เป็นชาย อายุ 88 ปี เป็นผู้ป่วยมะเร็งติดเตียงอยู่แล้ว และติดเชื้อโควิดจากลูกชายที่ไปพื้นที่เสี่ยงจังหวัดระยอง แล้วเดินทางมาเยี่ยมเมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยผู้ติดเชื้อมีอาการไอ มีเสมหะ ถ่ายเหลว เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลที่ระยองวันที่ 2 มกราคม ตรวจพบเชื้อ วันที่ 3 มกราคม มีอาการแย่ลงและเสียชีวิตวานนี้( 6 ม.ค.)” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ในจำนวน 305 ราย ติดเชื้อในประเทศ 193 ราย ติดเชื้อจากการคัดกรองเชิงรุกติดเชื้อในแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน 109 ราย เดินทางจากต่างประเทศ 3 ราย แบ่งเป็นติดเชื้อในประเทศ 7,551 ราย กลุ่มแรงงานต่างด้าว 2,684 ราย หายแล้ว 4,521 ราย ทั้งนี้ ระหว่างแถลงข่าวมีรายงานว่าจังหวัดบุรีรัมย์ตีไข่แตกแล้ว พบผู้ป่วยโควิด ซึ่งจะแถลงให้ทราบต่อไป
โฆษกศบค. ยกตัวอย่างจำนวนผู้ติดเชื้อที่จังหวัดนนทบุรี สะสม 111 ราย กระจายไป 6 อำเภอ มีประวัติเสี่ยงไปตลาด 53 ราย ไปสมุทรสาคร 21 ราย สัมผัสผู้ป่วยเดิม 9 ราย ไปสถานบันเทิง 6 ราย ไประยอง 2 ราย และอื่น ๆ 15 ราย ซึ่งหากจังหวัดอื่น ๆ ศึกษาและวิเคราะห์ความเสี่ยงในแต่ละจังหวัดได้ จะสามารถหาพื้นที่ปลอดภัย ป้องกันการกระจายของเชื้อได้ ส่วนที่จังหวัดสมุทรสาคร วันนี้มีจำนวนผู้ป่วยแตะ 3,000 ราย อย่างไรก็ตาม มีข่าวดีคือพื้นที่สีขาว ไม่พบผู้ป่วย 14 วัน เช่น ระนอง ตรัง กำแพงเพชร และสงขลา อาจจะนำออกจากตารางจังหวัดที่พบผู้ป่วย
นพ.ทวีศิลป์ ตอบคำถามที่ว่าทำไมบางจังหวัดไม่เปิดไทม์ไลน์ผู้ป่วย ว่า ถ้ามีจำนวนไม่มาก ควรจะเปิดเผย เพื่อให้ประชาชนรับทราบประวัติความเสี่ยงในการติดต่อ แต่เมื่อมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ต้องรอการทำประวัติไทม์ไลน์ที่อาจยังไม่เสร็จ หรือพยายามทำอยู่ แต่คนให้ข้อมูลไม่ร่วมมือ ซึ่งเป็นปัญหาเพราะเชื่อมโยงกับการทำผิดกฎหมาย เช่น บ่อนพนัน
“ต่อไปนี้ใครที่ติดเชื้อโควิดแล้วพบว่าไม่โหลดแอปหมอชนะ จะถือว่าละเมิดข้อกำหนด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากจงใจปกปิดข้อมูลการเดินทาง ปกปิดไทม์ไลน์ ถือว่ามีความผิดด้วย” โฆษกศบค. กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงการขอเอกสารการเดินทางทำให้คนมารวมตัวกันจำนวนมาก ว่า ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ หรือนายจ้างเอกชน สามารถออกให้ได้ เช่น รถส่งของ ให้นายจ้างออกใบรับรองให้ว่ารถจะต้องวิ่งเส้นทางใดบ้าง ในแต่ละวัน ซึ่งในอนาคตทุกคนต้องใช้แอปพลิเคชันหมอชนะ ไม่เช่นนั้นอาจมีบทลงโทษ
เมื่อถามว่าจะมีวัคซีนที่รัฐจัดให้จำนวนหนึ่ง แต่จะเปิดโอกาสให้เอกชนนำเข้ามาได้หรือไม่ โฆษกศบค. กล่าวว่า สามารถทำได้ รัฐไม่ได้ปิดกั้น แต่ต้องทำให้ถูกกระบวนการ ตามกติกา โดยต้องขึ้นทะเบียนรับรองจากต่างประเทศและองค์การอาหารและยา(อย.) ของไทยด้วย ทั้งนี้ ไม่ให้ประกาศให้ประชาชนจองหรือโฆษณาก่อนขออนุญาต
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวถึงการสร้างโรงพยาบาลสนาม ว่า นายกรัฐมนนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมีหลักการตรงกันที่ต้องการให้มีทุกจังหวัด เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ในอนาคตที่เลวร้ายที่สุด ให้การดูแลประชาชนในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศเท่าเทียมกัน ขอประชาชนอย่าตกใจ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ผู้ป่วยที่จังหวัดสมุทรสาคร 80% ไม่มีอาการ ที่จะให้มาใช้โรงพยาบาลสนามให้อยู่ด้วยกัน เพื่อประหยัดทรัพยากร โครงสร้างและระบบบำบัด ดีกว่าให้ไปแพร่เชื้อ โรคนี้ 10% อาการหนัก และ1-2% เสียชีวิต จึงต้องสร้างห้องพิเศษให้นอน ซึ่งมีอยู่แล้ว
“วันนี้เราได้รับความเห็นใจแรงงานที่มาอยู่กับเรา ผู้ป่วยก็ไม่ได้เป็นที่น่ารังเกียจ เขาเป็นพี่น้องเรา ญาติเรา ป่วยรักษาก็หาย สัปดาห์นี้ สัปดาห์หน้าเอาให้พรึ่บทั้งประเทศให้มีพลังเหมือนประเทศจีนที่ทำขึ้นมา รัฐ เอกชน ประชาชนเข้าใจกัน เราสู้โควิด ชนะแน่ ขอแรงกายแรงใจจากประชาชนทุกคนส่งไปยังแพทย์ที่มาจากทั่วประเทศ ที่ไปช่วยดูแลผู้ป่วยหลายพันคนที่สมุทรสาคร ที่ต้องทำงานเป็นนักรบแนวหน้า ด้วยการให้ทุกคนเว้นระยะห่าง” ทั้งนี้ โฆษกศบค.ได้นำภาพรถสองแถวที่นำฟิวเจอร์บอร์ดมากั้นแต่ละที่ ซึ่งสามารถเป็นตัวอย่างนำไปปฏิบัติต่อได้ .-สำนักข่าวไทย