รัฐเล็งฟื้น FTA ไทย-อียู

กทม. 27 ก.ย. – รัฐบาลใช้การต่างประเทศ เพิ่มโอกาสการค้าการลงทุน มองยาวหลังโควิด-19 ขยายวงไกลกว่าเอเซีย เล็งฟื้น FTA ไทย-อียู


นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลในฐานะประเทศสมาชิกอาเซียนได้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันความร่วมมือระหว่างภูมิภาคโดยเฉพาะเรื่องการค้าการลงทุนเพราะเป็นกลไกสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะมีการลงนามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นความตกลงการค้าเสรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกประกอบด้วยสมาชิก 16 ประเทศ คือ สมาชิกอาเซียน 10 ประเทศและคู่เจรจาอีก 6 ประเทศได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอินเดีย (ยังไม่ร่วมลงนาม) โดยในปีที่แล้ว ประเทศสมาชิกมีมูลค่าจีดีพีกว่า 28.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 32.7% ของจีดีพีโลก ทั้งนี้ การลงนาม RCEP จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจและส่งเสริมระบบกฎเกณฑ์การค้าแบบพหุภาคี และมั่นใจว่าจะทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมทั้งจะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจโลกและภูมิภาคเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของประเทศอินเดียแม้ยังไม่ได้ร่วมลงนาม RCEP ก็ไม่เป็นไรเพราะประเทศสมาชิกยังเปิดโอกาสให้อินเดียเมื่อพร้อมเสมอ อีกทั้งอาเซียนได้มีความตกลงการค้าสินค้าอาเซียนโ€“อินเดีย (AITIGA) ตั้งแต่ 2553 ซึ่งจะมีการทบทวนความตกลงให้ทันสมัย และเอื้อต่อการค้าและการลงทุน รวมถึงจะมีการพิจารณาเรื่องการเปิดตลาด การลดอุปสรรคในมาตรการที่มิใช่ภาษี การลดความล่าช้าและยุ่งยากในพิธีการศุลกากร และอำนวยความสะดวกทางการค้า ซึ่งจะช่วยผลักดันการค้าระหว่างอาเซียนกับอินเดียให้บรรลุเป้าหมายที่ 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2565 มากไปกว่านั้น อาเซียนยังได้มีการขยายความร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา แคนนาดา สหภาพยุโรป และสหภาพยูเรเซีย (เบลารุส คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน อาร์เมเนีย และรัสเซีย) ถึงจะยังไม่ถึงขั้นเข้าสู่ข้อตกลงการค้าเสรี แต่ก็เป็นสัญญาณของการเริ่มต้นที่ดี ที่ได้มีการลงนามเห็นชอบร่วมกันในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เรื่องแผนงานส่งเสริมการค้าการลงทุน และการหารือเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการออกกฎระเบียบ เท่ากับว่า อาเซียนได้ขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกว้างไกลกว่าภูมิภาคเอเซียแล้ว


นางสาวรัชดา กล่าวอีกว่า ส่วนการฟื้นการเจรจาการค้าเสรี ไทย-สหภาพยุโรป (อียู) 27 ประเทศ ที่รัฐบาลให้ความสำคัญเพราะจะช่วยเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เป็นการขยายโอกาสการส่งออกสินค้าไทย ในปี 2562 อียูเป็นคู่ค้าอันดับ 5 ของไทย รองจากอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ การค้าระหว่างไทย-อียู มีมูลค่ากว่า 4.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนการค้า 9.2% ของการค้าไทยกับโลก โดยไทยส่งออกไปอียู มูลค่า 2.35 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ กระทรวงพาณิชย์ในฐานะเจ้าภาพหลัก ได้ทำการศึกษาและระดมความคิดเห็นต่อความตกลงการค้าเสรีไทย-อียู ที่ครอบคลุมเรื่อง การค้า สินค้า บริการ และการลงทุน ซึ่งหากมีการลดภาษีนำเข้าสินค้าทุกรายการทั้งของไทยและอียูในระยะยาวจะช่วยให้เศรษฐกิจของไทยขยายตัวได้ถึง 1.28% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 6.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 2.05 แสนล้านบาท สินค้าส่งออกของไทยมีโอกาสขยายตัว เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วน สิ่งทอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์อาหาร เป็นต้น ในส่วนข้อกังวลจากภาคประชาสังคมเรื่องการเข้าถึงยาและการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ สืบเนื่องจากมาตรฐานการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาที่สูงขึ้น กระทรวงพาณิชย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบ รับฟังทุกด้าน เตรียมความพร้อมเพื่อการเจรจาอย่างรัดกุมต่อไป โดยผลของการศึกษาและการฟื้นการเจรจาค้าเสรีฯ กระทรวงพาณิชย์จะเสนอให้ครม.พิจารณาในอีกไม่นานนี้

“เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกคลี่คลาย การบริโภคและความต้องการสินค้าระหว่างประเทศจะเพิ่มมากขึ้น การค้าเสรีจะทำให้สินค้าส่งออกไทยไม่ต้องต้องแบกรับอัตราภาษี อย่างไรก็ตาม การค้าเสรีจะเกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อภาคเอกชนไทยมีศักยภาพทางการแข่งขันในเรื่องคุณภาพและการผลิตได้ตามความต้องการของตลาด  ซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีการจัดทัพให้ทูตพาณิชย์เป็นเซลแมนประเทศ หาตลาดและจับคู่ธุรกิจการค้า ส่งเสริมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และหน่วยงานรัฐต่างๆมีโครงการส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการ ทั้งเรื่องแหล่งเงินกู้ การอบรมการใช้เทคโนโลยีการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการเกษตร การส่งเสริมมาตรฐานสินค้าไทยให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก เป็นต้น รัฐบาลพร้อมดูแลและเยียวยาอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบ ส่วนการค้าเสรีที่อยู่ในขั้นพิจารณาว่าจะไปเจรจาหรือไม่ เช่น ไทย-อียู จะไม่มีการเร่งรีบแต่ศึกษาอย่างรอบคอบ และรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดท่าทีเจรจา และการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง” นางสาวรัชดา กล่าว.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.ตร.บังคับใช้ 7 มาตรการแก้ไขปัญหาคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง

ผบ.ตร. บังคับใช้ 7 มาตรการเข้มข้น แก้ไขปัญหาคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง ถูกหลอกลวง หรือประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ ย้ำชัดให้เห็นผลภายใน 7 วัน หากพบเจ้าหน้าที่มีเอี่ยวหรือบกพร่อง ฟันเด็ดขาด

แก้ปัญหาฝุ่น

นายกฯ สั่งการด่วนคมนาคมออกมาตรการหยุด PM 2.5

นายกฯ สั่งการคมนาคมออกมาตรการเร่งด่วน หยุด PM 2.5 ให้ประชาชนนั่งรถไฟฟ้าทุกสาย-ขสมก.ฟรี 7 วัน 25-31 ม.ค.นี้ เตรียมใช้งบกลางกว่า 140 ล้านบาท ชดเชยผู้ประกอบการ เข้มตั้งจุดตรวจควันดำ 8 จุด รอบ กทม.-ปริมณฑล

ฝุ่น กทม.

แดงเกือบทั้งกรุง คุณภาพอากาศวิกฤติ ฝุ่น PM 2.5 กระทบต่อสุขภาพ

คุณภาพอากาศกรุงเทพฯ วิกฤติต่อเนื่อง เช้านี้ฝุ่น PM 2.5 อยู่ระดับสีแดง ผลกระทบต่อสุขภาพ 67 พื้นที่ คุณภาพอากาศจะแย่แบบนี้ไปถึงสัปดาห์หน้า

ตร.สอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการ “ปิดจบสยบ Fiwfans”

ตำรวจสอบสวนกลาง “เปิดปฏิบัติการปิดจบสยบ Fiwfans (ฟิวแฟน)” เว็บไซต์ค้ากามเด็กออนไลน์ จับแอดมิน 5 ราย ดำเนินคดี พบในรอบ 4 ปี มีหญิงค้าประเวณีผ่านเว็บไซต์กว่า 40,000 ราย อายุต่ำสุด 15 ปี พบเงินหมุนเวียนกว่า 3,000 ล้านบาท

ข่าวแนะนำ

มาตรการสู้ฝุ่น

ขานรับมาตรการสู้ฝุ่น เช้าวันทำงาน “รถไฟฟ้า-รถเมล์” ขึ้นฟรี

“รถไฟฟ้า-รถเมล์” ฟรีตามมาตรการสู้ฝุ่น เช้าวันทำงาน พบส่วนใหญ่เลือกนั่งรถฟรี ประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนรถไฟฟ้าคนแน่น ขณะที่โรงเรียน กทม. 437 แห่ง เปิดเรียนตามปกติ

อุตุฯ เผยอีสาน อุณหภูมิลดลง 4-6 องศาฯ กทม.อากาศเย็นตอนเช้า-ลมแรง

กรมอุตุฯ เผยภาคอีสาน อุณหภูมิลดลง 4-6 องศาฯ กับมีลมแรง ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก อุณหภูมิลดลง 1-3 องศาฯ ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพ กรุงเทพฯ-ปริมณฑล

เมย์วิวคว้าแชมป์แบด

“เมย์-วิว” คว้าแชมป์อินโดนีเซีย มาสเตอร์ส

“น้องเมย์” รัชนก อินทนนท์ และ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ คว้าแชมป์แบดมินตันอินโดนีเซีย มาสเตอร์ส ในประเภทหญิงเดี่ยวและชายเดี่ยว