กรุงเทพฯ 11 ก.ย.-“พิชัย” โต้นายกฯหลังจี้ส.ส.ในสภาเรื่องเผด็จการรัฐสภา ชี้ส.ว.250 คนคือคำตอบ ถ้าไม่ไหวควรลาออก ห่วงต้องกลับคำว่าไม่หนีคดี
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวถึงการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ว่า ส.ส.ฝ่ายค้านจำนวนมากเรียกร้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมลาออก แต่แทนที่พล.อ.ประยุทธ์จะหาทางอธิบายแก้ข้อกล่าวหา กลับพูดถึงเรื่องเผด็จการรัฐสภา ยิ่งเป็นการตอกย้ำระบบเผด็จการสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์เอง เพราะปัจจุบันในสภามีสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ที่มาจากแต่งตั้งของพล.อ.ประยุทธ์ให้เข้ามาเลือกพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี 250 คน ซึ่งตอกย้ำเผด็จการรัฐสภาอย่างแท้จริง เพราะถ้าหากไม่มี 250 ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้งและโหวตให้พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่มีทางได้เป็นนายกรัฐมนตรี
“พล.อ.ประยุทธ์อาจจะเข้าใจผิด คิดว่าในอดีตพรรคการเมืองที่ชนะเสียงข้างมากในสภาเป็นเผด็จการรัฐสภา ทั้งที่เป็นเสียงของประชาขนโหวตให้ชนะการเลือกตั้งเข้ามา และต้องใช้เสียงส่วนมากในการบริหารประเทศและสภาก็มีอายุตามเทอม 4 ปีก่อนที่จะเลือกตั้งใหม่ ถ้าทำไม่ดีประชาชนจะไม่เลือกกลับมา ซึ่งเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ใช้กันทั่วโลก ในขณะที่เผด็จการแบบพล.อ.ประยุทธ์ เข้ามาโดยการรัฐประหาร ประชาชนไม่ได้เลือก อยู่มา 5 ปีกว่าถึงจัดเลือกตั้ง โดยเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจ มีวุฒิสภาจากการแต่งตั้ง 250 คน โหวตเลือกนายกฯ ซึ่งเป็นเผด็จการรัฐสภาอย่างแท้จริงและนักศึกษา ประชาชน รวมถึงพรรคฝ่ายค้านกำลังหาทางแก้รัฐธรรมนูญเรื่องนี้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์รังเกียจเผด็จการรัฐสภาจริงก็ต้องยกเลิก ส.ว. ไม่ให้โหวตนายกฯ และยกเลิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งนี้ไปเลย” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าวว่า การที่ประชาชนรังเกียจรัฐประหาร รังเกียจเผด็จการ รังเกียจการคุกคามประชาชน และไม่อยากให้ซื้อเรือดำน้ำในเวลาที่ประชาชนเดือดร้อนอย่างหนักจากภาวะเศรษฐกิจ แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับเรียกร้องให้อย่ารังเกียจทหาร ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันเลย เป็นการเบี่ยงเบนประเด็น เพราะคงไม่มีใครรังเกียจทหารอาชีพที่ทำหน้าที่ปกป้องประเทศ ไม่ใช่เป็นทหารที่ทำรัฐประหารเข้ามาบริหารแล้วทำประเทศเสื่อมถอย ที่คนกำลังรังเกียจกัน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับเวลาที่นักศึกษา นักเรียน และ ประชาชน จำนวนมากออกมาชุมนุม ต่อต้านและขับไล่ รัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ แต่กลับถูกหาว่าเป็นพวกชังชาติ ทั้งที่พล.อ.ประยุทธ์ไม่ใช่ชาติ จึงไม่อยากให้ใช้วิธีการแย่ ๆ แบบตรรกะวิบัตินี้ในการตอบโต้คนที่เห็นต่างที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
“จากที่ได้ฟังนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และรมว.พลังงานตอบการอภิปรายในสภาครั้งแรก รู้สึกผิดหวังอย่างมาก เหมือนกับอยู่คนละประเทศ พูดเหมือนทุกอย่างดีหมด ทั้งที่เศรษฐกิจไทยมีปัญหาอย่างมาก จริงอยู่สถานะทางเศรษฐกิจของไทยยังมั่นคง เพราะประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง แต่ปัญหาหลักคือเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำมากมาตลอด 6 ปี ตั้งแต่รัฐประหาร พอมาเจอวิกฤติ โควิด ไทยกลับยิ่งทรุดหนักที่สุดในเอเชีย และยิ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ทำให้เศรษฐกิจไทยแทบไม่ขยายตัวเลยตลอด 6 ปีที่ผ่านมา จะไปเปรียบเทียบกับประเทศอื่นที่เขาขยายตัวสูงมาตลอดหลายปีไม่ได้” นายพิชัย กล่าว
นายพิชัย กล่าว่า ไทยยังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 3-4 ปีกว่าจะฟื้นกลับมาเท่าเดิม ซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก นอกจากนี้ การขายฝันว่าจะสร้างงาน 1 ล้านตำแหน่ง โดยเริ่มจากมาตรการการสนับสนุนค่าจ้างครึ่งหนึ่งให้กับการจ้างงาน 260,000 คน สำหรับนักศึกษาจบใหม่ อยากถามว่าจะจ้างไปใช้ในการผลิตสินค้าและให้บริการประเภทไหนในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ไม่อยากให้พูดเพื่อสร้างความหวังโดยไม่สามารถจะทำได้จริง เพราะตลอด 6 ปียังไม่เคยทำได้เลย
นายพิชัย กล่าวว่า เรื่องพลังงาน การออกใบอนุญาตให้โรงไฟฟ้าชุมชน อยากให้พิจารณาให้ดี อย่าได้เอื้อประโยชน์ให้เฉพาะกับกลุ่มหัวคะแนนของพรรคพลังประชารัฐ ตามที่มีข่าวตั้งแต่สมัยรัฐมนตรีคนที่แล้วที่จะใช้โรงไฟฟ้าชุมชนนี้เหมือนเป็นการซื้อเสียงให้กับฐานเสียงของพรรค ซึ่งหากตรวจพบอาจถูกดำเนินคดีได้ นอกจากนี้ การจะยกเลิก แก๊สโซฮอล์ 91และ 95 ที่มีส่วนผสมเอทานอล 10% เพื่อไปใช้ E 20 ที่มีส่วนผสมของเอทานอล 20% อย่างเดียวไม่น่าจะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง และอาจเป็นการเอื้อประโยชน์นายทุนผู้ผลิตเอทานอลตามที่เคยทักท้วงไว้แล้ว เพราะราคาเอทานอลสูงกว่าราคาเนื้อน้ำมันที่กลั่นแล้วหลายเท่า ซึ่งจะทำให้ต้นทุนและราคาของน้ำมันแพงขึ้นไปอีก เป็นการเพิ่มภาระให้กับประชาชนมากขึ้น อีกทั้งยังควรที่จะเจรจาต่อรองราคาเอทานอลให้ลดลง เพราะราคาเอทานอลของไทยสูงกว่าราคาในตลาดโลกมาก
“ถ้ารู้ตัวว่าไม่ไหว พล.อ.ประยุทธ์ก็ควรจะลาออกไปตามคำเรียกร้องของฝ่ายค้าน นักศึกษา และประชาชนจำนวนมาก อย่าทำให้ประเทศเสียหายไปกว่านี้ และไม่ต้องรอให้นักศึกษาและประชาชนออกมาไล่มากขึ้นกว่านี้ เพราะที่บอกว่าจะไม่หนีคดี แต่สุดท้ายอาจจะต้องกลับคำ ถ้าหากมีคนเจ็บคนตายจากการชุมนุมเหมือนในอดีต เพราะครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งที่แล้วอย่างแน่นอน” นายพิชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย