อันดับแสนยานุภาพทางการทหารอาเซียน

กทม. 25 ส.ค. – การแถลงข่าวของกองทัพเรือเมื่อวานนี้ ระบุถึงความจำเป็นและเหตุผลสำคัญในการซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ ถือเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการป้องกัน คุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ รักษาอธิปไตยความมั่นคงทางทะเลของประเทศที่มีมูลค่ากว่า 24 ล้านล้านบาท


ข้อมูลจากเว็บไซต์ Global Firepower ซึ่งเป็นเว็บไซต์ในการจัดอันดับแสนยานุภาพทางการทหารระดับนานาชาติประจำปี 2563 ได้เผยแพร่รายงาน “2020 Military Strength Ranking” ซึ่งมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมในการจัดอันดับรวมทั้งสิ้น 138 ประเทศ การจัดอันดับ “ด้านแสนยานุภาพทางการทหาร” ของประเทศในภูมิภาคอาเซียน 10 ประเทศ พบว่า
อันดับ 1 คือ อินโดนีเซีย ซึ่งติดอันดับที่ 16 ของโลก
อันดับที่ 2 คือ เวียดนาม ติดอันดับที่ 22 ของโลก
ขณะที่ประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 3 ของอาเซียน อยู่อันดับที่ 23 ของโลก
ตามด้วยประเทศเมียนมา อันดับที่ 4
มาเลเซีย อันดับ 5
ส่วนอันดับที่ 6-9 คือ ประเทศฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ กัมพูชา และ สปป ลาว ตามลำดับ
สำหรับประเทศบรูไนไม่ได้เข้าร่วมในการจัดอันดับ

เฉพาะเรือดำน้ำ พบว่าในภูมิภาคอาเซียนมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 18 ลำ กระจายอยู่ในประเทศต่างๆ เวียดนามมีมากที่สุด 6 ลำ อันดับ 2 คือ อินโดนีเซีย 5 ลำ และอยู่ระหว่างการจัดหาอีก 4 ลำ ซึ่งถ้าจัดหาได้ครบจะทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีเรือดำน้ำประจำการมากที่สุดในอาเซียน ตามมาด้วย สิงคโปร์ 4 ลำ และอยู่ระหว่างจัดหาอีก 4 ลำ มาเลเซีย 2 ลำ และเมียนมามี 1 ลำ และอยู่ระหว่างการจัดหาอีก 4 ลำ ทำให้ขณะนี้ 4 ประเทศในอาเซียนที่ยังไม่มีเรือดำน้ำ ประกอบด้วย ไทย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา และ สปป ลาว


สำนักข่าวไทยตรวจสอบข้อมูลการจัดหาเรือดำน้ำของกองทัพเรือที่มีข่าวมาต่อเนื่องมานานเกือบ 10 ปี ความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนสุด เริ่มขึ้นในช่วงปี 2558 ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการจัดหาเรือดำน้ำ 3 ลำ และมีการสำรวจว่าเรือดำน้ำจากจีนมีข้อเสนอดีที่สุด จากนั้นวันที่ 18 เมษายน 2560 ครม. ได้อนุมัติจัดซื้อเรือดำน้ำ 1 ลำ

เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2560 เสนาธิการทหารเรือในขณะนั้น คือ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือในวันนี้ ได้ลงนามที่ประเทศจีน หลังจากนั้นช่วงปลายปี 2562 กองทัพเรือได้ของบฯ ปี 2563 จัดซื้อเพิ่มเติมอีก 2 ลำ แต่จำเป็นต้องลดงบเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นเงิน 4,100 ล้านบาท

ต่อมาในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาฯ ได้เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบฯ ปี 2564 ซึ่งกองทัพเรือได้ขออนุมัติงบผูกพันจัดซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำที่เหลือ หลังจากงบปีก่อนต้องถูกเลื่อนออกไป


ท้ายสุดเมื่อวันศุกร์ในชั้นกรรมาธิการฯ โดยการทำงานของคณะอนุฯ มีมติ 5-4 อนุมัติงบดังกล่าว แต่เรื่องไม่ได้จบแค่ในห้องประชุม เพราะมีการเปิดประเด็นโดย ส.ส.พรรคเพื่อไทย จนทำให้โครงการเรือดำน้ำ 2 ลำ ที่เหลือของกองทัพเรือยังไม่ชัดเจนว่าจะออกมาในทิศทางใด. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

รับชันสูตรศพ “ผกก.โจ้” ยาก เหตุศพไม่อยู่สภาพเดิม

ผู้ช่วย ผบ.ตร. รับชันสูตรศพ ผกก.โจ้ ยาก เพราะศพไม่อยู่ในสภาพเดิม ยันดูวงจรปิดไม่พบพิรุธ ยังยิ้มแย้มทักทายผู้ต้องขัง ยกมือไหว้ผู้คุม แต่พบเลือดหยดข้างศพ และแขนซ้ายมีรอยกัดของสัตว์ขนาดเล็ก

โผล่อีก 2 ราย! เหยื่อสาวแบงก์แอบถอนเงินลูกค้า

กรณีสาวแบงก์ แอบถอนเงินลูกค้า 8 ล้านบาท สารภาพเอาไปซื้อบ้าน-รถ และส่งลูกเรียนต่างประเทศ ล่าสุด เหยื่อโผล่แจ้งความเพิ่มอีก 2 ราย วงเงิน 2 ล้าน ยอดรวมเสียหายถึง 10 ล้านบาท

ผบ.ทบ. สั่งระดมทหารช่วยเหตุเพลิงไหม้ รพ.รามาธิบดี

ผบ.ทบ. สั่งระดมทหาร พร้อมกำลังพลจิตอาสากองทัพบก เข้าช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจราจร และอพยพผู้ป่วย จากเหตุเพลิงไหม้ รพ.รามาธิบดี

ข่าวแนะนำ

สภาฯ หมื่นล้าน ‘ท่อน้ำฝ้าเพดาน’ แตก

สภาฯ หมื่นล้านแตกอีกแล้ว! รอบนี้ ‘ท่อน้ำฝ้าเพดาน’ แตก น้ำไหลเจิ่งนองลงมายังอาคารจอดรถชั้นใต้ดินบี 1 ระดมแม่บ้านทำความสะอาด-จัดระเบียบอำนวยความสะดวก จนท.รุดซ่อมแซม

รพ.รามาธิบดี แถลงบุคลากรบาดเจ็บ 1 คน เหตุเพลิงไหม้

รพ.รามาธิบดี แถลงเหตุเพลิงไหม้ ผู้ป่วยทุกคนปลอดภัย มีบุคลากร 1 คน บาดเจ็บสูดเขม่าควัน รักษาตัวอยู่ไอซียู คาดกลับมาเปิดให้บริการได้อีกครั้งภายใน 1 สัปดาห์ ด้านอุปนายกวิศวกรรมสถานฯ ตรวจสอบเบื้องต้นอาคารยังอยู่ในสภาพปกติ ขณะที่ พฐ. คาดไฟฟ้าลัดวงจร

“บิ๊กอ๊อด” พร้อมสู้คดีในชั้นศาล ย้ำทุกอย่างทำเพื่อสมาคม-สโมสร

“บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พร้อมสู้คดีในชั้นศาล หาก “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ฟ้อง ย้ำทุกอย่างทำเพื่อสมาคมและสโมสร

ซ่อมรถบัสทิพย์

บุกจับ 7 จนท.กองกีฬาฯ จัดจ้างซ่อมรถบัสทิพย์เสียหาย 2.7 ล้าน

ป.ป.ช. สนธิกำลังปฏิบัติการร่วม ปปท. และ ป.ป.ป. จับกุม 7 เจ้าหน้าที่สังกัดสำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร จัดจ้างซ่อมรถบัสทิพย์ เสียหายกว่า 2.8 ล้านบาท