ทำเนียบฯ 24 ส.ค.- นายกฯ ย้ำความร่วมมือทุกมิติ ในการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้างเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19 พัฒนาขีดความสามารถของไทยเป็นฐานการผลิตยาและวัคซีนของอนุภูมิภาค เมื่อผลิตวัคซีนสำเร็จ ประชาชนต้องเข้าถึงได้
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 08.30 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมการประชุมผู้นำกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 3 (Mekong-Lancang Cooperation: MLC) ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีผู้นำ 6 ประเทศสมาชิก MLC ได้แก่ ไทย กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน โดยมีนายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีแห่ง สปป. ลาว และนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เป็นประธานร่วม
การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การยกระดับความเป็นหุ้นส่วนเพื่อความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของประเทศสมาชิกที่จะกระชับความร่วมมือภายใต้กรอบ MLC เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ในช่วงแรก นายทองลุน สีสุลิด นายกรัฐมนตรีลาว ในฐานะประธานร่วม ได้กล่าวเปิดการประชุม พร้อมขอบคุณความช่วยเหลือระหว่างกันในช่วงโควิด-19 และชื่นชมมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของทุกประเทศ เชื่อมั่นว่า กรอบ MLC จะช่วยส่งเสริมความรุ่งเรืองในอนุภูมิภาค พัฒนาเศรษฐกิจ และสังคม และร่วมกันปรับตัวเพื่อฟื้นฟูภายหลังช่วง โควิด-19
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แสดงความยินดีและชื่นชมที่กรอบ MLC มีความร่วมมือเพิ่มขึ้นตามลำดับ ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ถือเป็นอีกวาระหนึ่งที่จะร่วมกันพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ยกระดับความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน พร้อมเชื่อมั่นว่าปฏิญญาเวียงจันทน์จะสามารถย้ำเจตนารมณ์ร่วมของประเทศสมาชิก ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง เศรษฐกิจและการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะกองทุนพิเศษในกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ซึ่งไทยได้รับอนุมัติทั้งหมด 10 โครงการในปีนี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สาขาความร่วมมือที่ไทยให้ความสำคัญและมีความพร้อมทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ 1. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ที่ไทยสนับสนุนข้อริเริ่มความร่วมมือด้านการบริหารจัดการน้ำ ขยายความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มน้ำโขง 2.ความมั่นคงด้านสาธารณสุข ไทยได้รับการยอมรับว่าจัดการ และควบคุมสถานการณ์โควิด – 19 เป็นผลจากความร่วมมือของประชาชน และนโยบายด้านสาธารณสุขที่ให้ความสำคัญกับความพร้อมของบุคลากรและโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ การเข้าถึงบริการสาธารณสุขและยา ซึ่งไทยพร้อมให้ความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาวัคซีนกับนานาชาติภายใต้กรอบ WHO โดยจะเร่งพัฒนาขีดความสามารถของไทยในการเป็นฐานการผลิตยาและวัคซีนของอนุภูมิภาค รวมทั้งเห็นพ้องกับประเทศสมาชิกว่า เมื่อผลิตวัคซีนสำเร็จประชาชนทุกภาคส่วนควรจะสามารถเข้าถึงได้
3.การยกระดับความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค ผ่านความร่วมมือในทุกมิติ ซึ่งไทยยินดีที่จะเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ โดยต้องคำนึงถึงความสมดุลและความมั่นคงทางสาธารณสุขควบคู่กัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมและโลจิสติกส์ พลังงาน ดิจิทัล และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อกระจายรายได้ไปสู่พื้นที่ที่ห่างไกลจากระเบียงเศรษฐกิจอย่างทั่วถึง รวมไปถึงการเชื่อมโยงระเบียงเศรษฐกิจต่างๆ และ 4.การฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังโควิด-19 เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ปัจจัยสำคัญที่จะเป็นการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงและยั่งยืนคือการสร้าง ความยืดหยุ่น โดยให้ภาคเอกชน ผ่านการสนับสนุนภาคธุรกิจเอกชน โดยเฉพาะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก และรายย่อย (MSMEs) พร้อมช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศสมาชิก และกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกัน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นการร่วมแสดงเจตจำนง และความแน่วแน่ร่วมกันของประเทศสมาชิกที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายต่าง ๆ เปลี่ยนวิกฤตที่ทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ ให้เป็นโอกาสในการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด สร้างสรรค์ และต่อเนื่อง เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเจริญเติบโต เสถียรภาพ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และเพื่อการพัฒนาและความมั่งคั่งของพลเมือง โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง.-สำนักข่าวไทย