22 ส.ค.- แม่ทัพภาคที่ 1 ยัน MOU 43 เป็นเครื่องมือช่วยลดความขัดแย้ง ส่วนจะยกเลิกหรือไม่ ขึ้นอยู่กับระดับสูงกว่า ย้ำ ไม่รื้อลวดหนาม ก่อนเก็บกู้ระเบิดตามข้อกล่าวอ้างกัมพูชา ขณะที่เสนาธิการทัพภาคที่ 1 เผยมติกัมพูชา รับกู้ระเบิด-ปราบสแกมเมอร์ จะส่งผลดีต่อการพูดคุยภาคที่ 2 ด้านผู้ว่าฯ สระแก้ว ยันไม่มีใครมีเอกสิทธิในพื้นที่บ้านหนองจาน
พลโท อมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงกรณีบ้านหนองจาน ที่มีปัญหา 30-40 ปี เพราะติด MOU 43 มองว่าควรยกเลิกหรือไม่ แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุว่า เรื่องนี้ต้องไปหารือในระดับที่สูงกว่าตนเอง เพราะไม่ได้เกิดปัญหาที่ท้องถิ่น แต่ MOU 43 ทำขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือลดความตึงเครียดในพื้นที่ เปรียบเหมือนชีวิตคนเราเมื่อรั้วบ้านติดกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีข้อตกลงร่วมกัน เพื่อให้ดำเนินการอย่างถูกกฎหมาย ไม่เช่นนั้นในแต่ละที่จะเกิดการทะเลาะกัน และ MOU เป็นเรื่องที่นำมาพูดคุยและลดกระแสต่าง ๆ รวมถึงต้องปักปันเขตแดน
ส่วนพื้นที่บ้านหนองจาน มีโฉนดของคนไทย แต่กัมพูชามาอยู่ ชาวบ้านบางคนบอกเป็นที่ของเขาแต่ต้องจ่ายค่าเช่า แต่ชาวกัมพูชาป่วน เราจะแก้ปัญหาอย่างไรนั้น เรื่องนี้ นายปริญญา โพธิสัตย์ ผู้ว่าฯ สระแก้ว ระบุว่า เฉพาะพื้นที่หนองจาน ตามสิทธิที่ดิน ตรวจสอบแล้วไม่มีเอกสารสิทธิ์ ไม่มี สค.1หรือ นส.3 สภาพพื้นที่เป็นป่า การอยู่อาศัยทางการไทยจึงออกบ้านเลขที่ให้ เพื่อดำเนินการใช้ไฟฟ้าได้ ไม่ได้ให้สัญชาติคนในพื้นที่ ยืนยันไทยมีแผนที่ให้ดูว่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นพื้นที่นั้นเป็นแผนที่ใด ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับปัจจุบันได้ และฝ่ายปกครองขอยืนยันว่าไม่มีพื้นที่เอกสารสิทธิ์ใดๆ แม้กระทั่งคนไทย หากพื้นที่ใดมีเอกสาร จะมีภาพถ่ายทางอากาศและกรมที่ดินก็จะไประวาง ซึ่งกรมที่ดินใช้แผนที่ทั่วประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบกันแล้ว ย้ำว่าไม่มีเอกสารสิทธิ์
สำหรับโดรนสอดแนม แม่ทัพภาคที่ 1 ระบุว่า มีบ้างช่วงแรก แต่มีมาตรการป้องกันทุกมิติ มีระบบแอนตี้โดรน และใช้ภาคพื้นดิน และมีการควบคุมพื้นที่ในการขึ้นโดรนซึ่งจะสามารถตรวจสอบได้ โดยตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง สามารถที่จะทำงานร่วมกันได้ ซึ่งมีระบบตรวจสอบได้ ค้นหาพิกัด ล่าสุดตรวจพบว่าในพื้นที่จังหวัดสระแก้วไม่พบโดนสอดแนมแล้ว
หากรัฐบาลกัมพูชามีการเรียกร้องให้มีการรื้อลวดหนาม และจะยอมเก็บกู้ทุนระเบิดนั้น แม่ทัพภาคที่ 1 ยืนยันไม่รื้อ ไม่มีทางรื้อ ซึ่งทางฝ่ายกัมพูชาในวันนี้ก็ตอบเองว่าเขาต้องการที่จะเก็บกู้วัตถุระเบิด ซึ่งไม่เกี่ยวกับรั้วลวดหนาม
พร้อมกันนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ยอมรับว่า ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ตกค้างตั้งแต่สมัยเวียดนามกัมพูชา ดังนั้นพื้นที่ตรงนี้ถึงไม่เกิดเหตุ แต่พื้นที่ภาคที่ 2 เป็นพื้นที่การรบ ซึ่งสาเหตุทุกคนก็ทราบแล้วว่าเกิดจากอะไร แต่สิ่งที่กองทัพภาคที่ 1 ทำก็เพื่อเคลียร์วัตถุที่ตกค้าง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยรวมถึงประชาชนคนไทยให้ปลอดภัยด้วย
ด้าน พลตรี สุรวิชญ์ แดงจันทร์ เสนาธิการกองทัพภาคที่ 1 ระบุว่า ขอยืนยันว่าผลสรุปในการประชุม อาร์บีซี สิ่งที่ไทยได้ ก็เชื่อว่าประชาชนจะยินดีกับข้อตกลงนี้ คือ กัมพูชาตอบรับการเก็บกู้ทุนระเบิด ปราบปรามสแกรมเมอร์ ซึ่งทั้ง 2 ข้อนี้แนวทางของจีบีซีกัมพูชาไม่ยอมรับ ดังนั้น จึงถือว่าครั้งนี้ประสบผลสำเร็จ เป็นข้อตกลงเริ่มต้น ยืนยันยังมีระเบิดอยู่ ซึ่งก็มีหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดที่ดำเนินการอยู่ ยืนยันว่าเก็บกู้ไม่หมดไม่สิ้น มีอีกจำนวนมาก แต่การดำเนินการที่ผ่านมา พื้นที่ที่มีปัญหาระหว่างการเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานเฉพาะพื้นที่พูดคุยกัน เพื่อจะพูดคุยกันว่าจะเก็บกู้ระเบิดตรงจุดไหน ยืนยันว่าทัพภาคที่ 1 ยังมี และขอชวนให้กัมพูชามาร่วมเก็บกู้ระเบิด
ทั้งนี้ ทางกัมพูชามีการเสนอว่าการเก็บกู้ทุ่นระเบิด จะต้องหยุดยิงโดยสมบูรณ์ ตนเองจึงตอบว่าเมื่อไหร่จะสมบูรณ์ แล้วที่กัมพูชาบอกว่าจะต้องปักปันเขตแดนให้เสร็จ ซึ่งตนเองก็ตอบไปว่าเมื่อไหร่จะเสร็จ จึงยืนยันกับกัมพูชาว่าการเก็บกู้ระเบิดต้องเกิดขึ้นทันที เพราะระเบิดไม่รู้จักใคร ถ้าจะรอ ก็จะมีรายที่ 6 รายที่ 7 ขาขาดทั้งไทยและกัมพูชา ดังนั้นตนเองจึงพยายามตีกรอบว่าต้องทำทันที แต่สุดท้ายก็ได้ข้อตกลงยินดีร่วมเก็บกู้ ยืนยันว่าเมื่อรับข้อเสนอที่ทัพภาคที่ 1 แล้ว อาจจะมีข้อแม้ไม่รับที่ทัพภาคที่ 2 ได้อย่างไร ก็เพราะเป็นทุ่นระเบิด ย้ำว่าสิ่งที่ได้จากกองทัพภาคที่ 1 จะเป็นมรรคเป็นผล ต่อไปที่ทัพภาคที่ 2 เช่นเดียวกับเรื่องสแกมเมอร์ ทัพภาคที่ 1 มีภาคที่ 2 ก็มีเช่นกัน -313 .-สำนักข่าวไทย