ศรีสะเกษ 16 ส.ค.-“มาริษ” วอนรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาทบทวนให้ความช่วยเหลือบริจาคเงินให้กัมพูชาโครงการกู้ทุ่นระเบิด เหตุไม่แสดงความจริงใจ ละเมิดพื้นที่และกฎหมายสากลฝั่งทุ่นระเบิดใหม่ ชี้ปัญหาจะคลาย หาก 2 ฝ่ายร่วมมือกัน
เมื่อเวลา 13.30 น. นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงต่อคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน และรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา 33 ประเทศ 1 องค์กร 2 องค์การระหว่างประเทศ รวมถึงสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ ภายหลังการบรรยายสรุปสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ในการลงพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ว่า กระทรวงต่างประเทศต้องการให้ผู้แทนจากต่างชาติ เห็นถึงปัญหาเรื่องของทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือนได้ เกิดขึ้น 5 ครั้ง จนมีทหารเสียขา เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ เพราะผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ และผิดหลักการอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งเชื่อว่าการลงพื้นที่ครั้งนี้ จะทำให้ทุกคนมีความเข้าใจปัญหาที่เกิดขึ้น
นายมาริษ กล่าวว่า ปัญหาทุ่นระเบิดเกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยสงครามเย็นแล้ว และได้ขอให้กัมพูชาร่วมกันช่วยกู้ และทุกฝ่ายต้องทำตามกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งคงจะต้องมีการพิจารณาโครงการกู้ทุ่นระเบิดใหม่ เนื่องจากตนทราบว่า มีหลายประเทศในภาคี ให้ความช่วยเหลือบริจาคเงินโครงการดังกล่าวให้แก่ทางกัมพูชา แต่เนื่องจากทุ่นระเบิดที่ฝังใหม่ เป็นการฝังในดินแดนไทย ถือเป็นการละเมิดพื้นที่และกฎหมายสากล
นายมาริษ กล่าวว่า ตนมองว่าถึงเวลาที่จะต้องทบทวนการให้ความช่วยเหลือกัมพูชา เพราะถือว่าไม่ให้ความร่วมมือในวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค และอยากให้ทางกัมพูชาเคารพข้อตกลงตามกฎบัตรอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงแสดงความจริงใจ เพื่อลดความตึงเครียดในบริเวณชายแดน เพราะหากยังมีกรณีการเหยียบทุ่นระเบิด สถานการณ์ก็จะแย่ลง ดังนั้น ต้องมีการร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นการลดความขัดแย้งของทั้งสองประเทศ
นายมาริษ กล่าวอีกว่า รัฐบาลไทยยืนยันว่ายึดมั่นในกฎหมายสากล และอนุสัญญาออตตาวา โดยไทยจะยึดมั่นในหลักการ แม้ทางกัมพูชายังไม่มีความพร้อม และไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกประเทศที่เป็นมิตร เพื่อปฏิบัติการกู้ระเบิด เพราะเป็นภารกิจมนุษยชน
จากนั้นผู้สื่อข่าวถามว่า กลัวหรือกังวลหรือไม่ว่ารัฐบาลเราแพ้สงครามข่าวสารจากกัมพูชา นายมาริษ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศอยากสื่อสารผ่านช่องทางทางการเท่านั้น รวมถึงโซเชียลมีเดียด้วย และมีโอกาสที่ตนเองได้คุยกับจีน และประเทศอื่นๆ ว่าการใช้โซเชียลมีเดียเผยแพร่ข่าวปลอมจะทำให้เกิดความขัดแย้ง และความยากลำบากของทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งโซเชียลมีเดีย เราไม่สามารถควบคุมได้และรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ทำไมคนถึงให้น้ำหนักกับโซเชียลมีเดีย พร้อมย้ำว่า รัฐบาลไทยจะสื่อสารผ่านช่องทางที่เป็นทางการเท่านั้น
ส่วนเรื่องที่ไทยให้ความสำคัญกับเรื่องทุ่นระเบิด แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาชายแดน ทำให้ทางกัมพูชาได้ให้นำเรื่องนี้ไปยังระดับสากล แต่ทำไมไทยถึงไม่ทำด้วย นั้น ตนเองขอชี้แจงว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 118 ประเทศ ที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลก เราเชื่อว่าประเด็นเริ่มต้นจาก 2 ประเทศ ก็ต้องจบที่ 2 ประเทศเช่นกัน การไปขึ้นศาลโลกไม่ได้แสดงความจริงใจในการเจรจา และไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากลำบากที่เรามีด้วยกัน เช่น พี่น้องไปขึ้นศาลด้วยกันก็ไม่สามารถแก้ปัญหาในใจได้
เมื่อถามว่าประเทศไทยจะให้ผู้สังเกตการณ์ อย่างผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่นระเบิดเข้ามาตรวจสอบได้หรือไม่ นายมาริษ กล่าวว่า ในการเจรจาประชุม GBC เรามีกลุ่ม IOT หรือคณะตรวจสอบแล้ว และจากการประชุมในครั้งนั้น เราพยายามบอกแล้วว่าให้มาร่วมมือกันในการกู้ระเบิด เพราะหากมีการฝังระเบิดจะยากลำบาก ดังนั้น การเจารจา GBC มีการเสนอไปแล้ว แต่ทางกัมพูชาตอบกลับมาว่าไม่พร้อม และเป็นฝ่ายที่นำข้อเสนอออก ภายใต้การประชุม GBC เรามีกลุ่มผู้สังเกตการณ์อยู่แล้ว แต่หากเราจะมีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านทุ่นระเบิดร่วมมือกับไทยในการแก้ปัญหานี้ กองทัพไทยน่าจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะไทยทำตามกติกา ตามกฎหมายสากล และตามกฎบัตรสหประชาชาติ
ส่วนคำถามทึ่ว่าประเทศไหนที่เป็นประเทศที่ขายทุ่นระเบิดชิ้นใหม่ ๆ เหล่านี้ให้กัมพูชา และมาฝังในเขตแดนไทยได้อย่างไร นายมาริษ กล่าวว่า ตนเองไม่สามารถตอบเพื่อพาดพิงถึงบุคคลที่สามได้
ส่วนระเบิดที่ค้นพบเจอในพื้นที่ที่เคยกู้ระเบิดไปแล้วหรือไม่ ตอนนี้เราเจอทุ่นระเบิดใหม่ และระเบิดเหล่านี้เป็นสต็อกเก่า หรือสต็อกใหม่จากฝั่งกัมพูชา พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยได้เคลียร์ทุ่นระเบิดไปแล้ว พื้นที่ที่พบเป็นพื้นที่ที่อยู่ในไทยทั้งหมด ยืนยันว่า เป็นระเบิดที่พบใหม่ทั้งหมด
จากนั้นนายมาริษ ได้นำคณะทูตและสื่อมวลชน ลงพื้นที่ภูมะเขือ และฐานปฏิบัติการ เพื่อดูภูมิประเทศ และเยี่ยมชมการเก็บกู้ทุนระเบิดของหน่วยปฏิบัติการด้านทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม.-316.-สำนักข่าวไทย