รัฐสภา 15 ส.ค.-“ภัณฑิล” ซัดงบสำนักพุทธ เหตุเอาเงินให้พระถือ-ตั้งสมณศักดิ์ จนทำวงการสงฆ์เละเทะไปหมด ลั่นพระพุทธเจ้ารู้ก็คงตกใจ ถูกนำคำสอนไปบิดเบือนแปรเปลี่ยน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร มาตรา 27 สำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายภัณฑิล น่วมเจิม สส.กทม.พรรคประชาชน อภิปรายโดยออกตัวก่อนว่า สิ่งที่ตนพูดอาจจะไม่ค่อยจะถูกใจเท่าไหร่ เพราะต้องพูดว่า นักการเมืองไม่ค่อยอยากไปยุ่งกับพระเท่าไหร่ พระเป็นหัวคะแนน เป็นอินฟลูระดับชุมชน แต่ตอนนี้ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา
เนื่องจากรายละเอียดงบประมาณ 5,000 กว่าล้านบาท ในฐานะพุทธศาสนิกชน ตนเห็นว่าการใช้ได้เงินงบประมาณแบบนี้ เป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ขัดต่อหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่แปลกใจเลยว่า วันนี้การดำรงอยู่ของสงฆ์ ทำไมถึงเละเทะมีปัญหาแบบนี้
เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริง ในงบบุคลากรกว่า 1,600 ร้อยล้านบาท นึกว่าเป็นข้าราชการ ไม่ใช่ แต่เอาเงินไปให้พระ ซึ่งพระจริงๆ ไม่ควรจะถือเงิน ไม่สามารถจัดการกับคนเลวๆ ที่แฝงตัวอยู่ เอาเงินไปแบบนี้ เละหมด ว่างมาก แทนที่จะเอาเวลาไปปฏิบัติธรรม มีแต่ข่าวอะไรก็ไม่รู้ อย่าเสพติดเลย ยุ่งกับเรื่องทางเพศเอย หลายเรื่องก็ไม่ใช่ภารกิจของตัวเอง ทั้งยังซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่น งบนี้ยังเอาไปทำอะไรเลอะเทอเยอะแยะมากมาย ซึ่งคือการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้จ่ายเป็นเงินเดือนของพระสงฆ์ ทั้งที่ในประเทศนี้มีทั้งคนไม่นับถือศาสนา มีคนที่นับถือศาสนาอื่น ถูกต้องเป็นธรรมหรือไม่
“พระพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่า ให้ละทางโลก แสวงหาทางดับทุกข์ แต่รัฐกับมาจ่ายเงินเดือนส่งเสริมให้พระมีเงินเดือน สะสมความมั่งคั่ง ถ้าพระพุทธเจ้ารู้ก็คงตกใจ ที่มีการแปรเปลี่ยนปิดเบือนไปขนาดนี้ จึงขอเสนอตัดลดออกไปให้หมด เพราะชาวบ้านทำบุญตักบาตรอยู่แล้ว ไปไหนมาไหนพระไม่ต้องเสียเงิน เอาเงินให้พระทำไม”
นอกจากนั้น ยังควรถอดยศขุนนางพระ วิเคราะห์คือการเอาเรื่องอุปโลกไปยัดเยียดให้สงฆ์ ตั้งสัมณศักดิ์ เพราะพระกลายเป็นเจ้าพนักงานที่มีอำนาจทางธรรม ผ่านกลไกมหาเถรสมาคม ไม่ใช่การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา มีการวิ่งเต้นของตำแหน่งกันเยอะแยะ มัวหมองชั่วร้าย “ในหลวง ก็เพิ่งยกเลิกการแต่งตั้งสมณศักดิ์ไป”
ขณะเรื่องพัดยศก็เป็นครั้งแรกที่คณะกรรมาธิการสามารถตัดออกไปได้ เพราะพระผู้ใหญ่ออกไปกว่าครึ่ง โชคมาก ที่ถูกถอด ลาสิกขา ปราชิค กลายเป็นสมีไปหมดแล้ว ส่วนเรื่องตำรวจพระ ก็ไม่สามารถปราบอลัชชีได้ ทั้งยังพบการทุจริต การบริจาคมากมาย การซื้อขายตำแหน่ง เพราะจริงๆ แล้ว ถ้าอยู่ในพระวินัย เน้นการปฏิบัติ ก็คงไม่มีอะไรแบบนี้ ตลอดจน ควรลดพิธีกรรมต่างๆ ด้วย
ส่วนการดำเนินการที่ผิดภารกิจ ซึ่งหลายอย่างก็ไปอิงอ้างถึงสถาบันฯ ก็ควรย้ายไปอยู่ในที่ถูกที่ควร ไม่ใช่การอุดหนุนเรื่องการศึกษา ที่เป็นการไปแย่งงานกระทรวงศึกษาธิการ ทั้งยังมีการเลือกปฏิบัติสนับสนุนวัดที่รวยอยู่แล้วอีก
ดังนั้น จึงขอเสนอแนะให้ 1.สำนักงานพระพุทธศาสนาไม่มีรายละเอียดของแต่ละรายการ เช่น เงินอุดหนุนวัด จึงขอให้การยื่นขอรับงบประมาณในปีต่อไป จะต้องระบุ ชื่อวัดที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐ และควรแนบหลักเกณฑ์ของการ ขอรับเงินอุดหนุนอย่างเป็นรูปธรรม
2.การที่รัฐอุปถัมภ์เฉพาะพระพุทธศาสนา อาจทําให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับศาสนาอื่น จึงเสนอให้แยกรัฐออกจากศาสนา การนับถือ ศาสนาเป็นเรืองความเชื่อส่วนบุคคล
3.เสนอให้เพิ่มงบประมาณจัดทําระบบตรวจสอบทรัพย์สินของวัด บัญชีส่วนตัวของพระ และไวยาวัจกร ตลอดจนมูลนิธิที่เกี่ยวข้อง.-312.-สำนักข่าวไทย