ทำเนียบ 8 ส.ค.-“บิ๊กเล็ก” มอบความสำเร็จให้ทีมเจรจา GBC พร้อมขอบคุณประชาชน 4 จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาที่อดทน ให้ผู้ว่าฯ ประสานหน่วยงานด้านความมั่นคงอนุญาตประชาชนกลับบ้าน ชี้กัมพูชาเมินข้อตกลงเก็บกู้ระเบิด เพื่อใช้เป็นเครื่องป้องกันกำลังตนเอง ย้ำจะนำไปคุยใน GBC และจนกว่าจะยอมรับ จ่อตั้งทีมที่ปรึกษาส่วนตัวดูข้อกฎหมายรอบด้าน
พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำผลสำเร็จการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย – กัมพูชา หรือ GBC ว่า ขอบคุณทีมคณะเลขานุการ GBC ดำเนินการพูดคุยจนบรรลุข้อตกลง 13 ประเด็น โดยผลสำเร็จที่สำคัญ คือ เป็นการตกลงแบบทวิภาคี ระหว่างไทย – กัมพูชา ซึ่งอาเซียนได้ปล่อยให้ทั้งสองประเทศพูดคุยกัน โดยไม่เข้ามาแทรกแซง ทำหน้าที่เพียงเป็นผู้สังเกตการณ์ ขณะที่ในการพูดคุยมีผู้สังเกตการณ์จากสหรัฐสหรัฐอเมริกา และจีน ก็ได้ปล่อยให้อาเซียนบริหารจัดการกันเอง โดยไม่เข้ามาแทรกแซงเช่นกัน ถือว่าได้รับคำมั่นจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และมาเลเซียก็ตอบรับคำขอไทย ที่พยายามจะรักษาการพูดคุยระหว่างสองประเทศ เพื่อให้กลไกทวิภาคีดำเนินการต่อไปได้ และสิ่งที่ไทยประสบผลสำเร็จอีกหนึ่งประการ คือ เป็นอีกครั้งที่กัมพูชายอมพูดคุยทวิภาคี หลังจากที่ปฏิเสธมาตลอด
ส่วนการจะเชื่อใจกัมพูชาได้อย่างไรนั้น พลเอกณัฐพล ย้ำว่า จะใช้แนวทางเดิม คือ ความเป็นผู้มีวุฒิภาวะ โดยประเทศไทยจะแสดงถึงความเป็นผู้มีวุฒิภาวะ ดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ และปฏิบัติตามความเห็นร่วมกันของนานาชาติ ซึ่งจะเป็นกรอบประเมินควบคุมการปฏิบัติงานของฝ่ายกัมพูชา ว่า จะดำเนินการขัดต่อกฎหมาย หรืออนุสัญญานานาชาติหรือไม่
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่าส่วนตัวประเมินกัมพูชาใน 3 ขั้น คือ การประชุม GBC ในชั้นเลขานุการ ถือว่ากัมพูชาให้ความร่วมมือกับไทยเป็นอย่างดี แม้จะมีบางข้อที่ไม่ยอมรับ และบางข้อที่เสนอมา ซึ่งไทยก็ไม่ยอมรับเช่นกัน เช่น ไทยเสนอประเด็นการเก็บกู้วัตถุระเบิด รวมถึงการแก้ไขปัญหาสแกมเมอร์ แต่กัมพูชาก็ปฏิเสธ
ขั้นที่ 2 จะประเมินการประชุม GBC แบบเต็มคณะ ที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้ลงนามตกลงกับกัมพูชา โดยจะยึดถือตามเอกสารที่ลงนามกัน และขั้นที่ 3 คือ จะประเมินขั้นตอนการปฏิบัติ ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีกลไกกำกับ คือ กลไกคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค หรือ RBC และจากนั้นอีก 1 เดือนจะเข้าสู่การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย – กัมพูชา หรือ JBC
พลเอกณัฐพล ยังย้ำว่า ปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาครั้งนี้ จะใช้ผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้ทหารอาเซียนที่อยู่ในประเทศประเทศไทย คอยสังเกตการณ์ในเรื่องนี้ ดังนั้น จะไม่มีการนำกำลังจากนอกประเทศมายังประเทศไทย ขอให้ประชาชน และสื่อมวลชนสบายใจได้ พร้อมย้ำว่า กลไกกำกับเหตุการณ์ครั้งนี้มีอยู่ 3 ระดับ หรือ RBC, GBC และคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราวจากอาเซียน ซึ่งอาจมาไม่ครบทุกประเทศ รูปแบบจะคล้ายกับการนำคณะทูตทหารลงพื้นที่ดูข้อเท็จจริงที่จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา
พลเอกณัฐพล ยังยืนยันว่า ทั้งกลไก GBC และศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย – กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ที่มีทีมกฎหมายดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งตนเองจะทำในสิ่งที่อยู่ในกรอบกฎหมาย แต่หากเกินอำนาจจะเสนอเข้าสู่ที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. และที่ประชุมคณะรัฐมนตรี หรือ ครม. และย้ำว่าการดำเนินการของ ศบ.ทก. จะไม่อยู่นาน แต่สถานการณ์ปัจจุบันรัฐบาลยังคงเป็นห่วง จึงอยากให้ ศบ.ทก. ช่วยดำเนินการไปก่อน แต่เมื่อถึงเวลาจะเสนอจบภารกิจ เพราะยอมรับว่าเป็นภารกิจที่หนักมาก ที่มีการดำเนินการเกี่ยวข้องกับกฎหมายต่างๆ รวมถึงคดีที่จะตามมาด้วย และล่าสุด เพื่อความปลอดภัยในแง่ของกฎหมาย จะแต่งตั้งทีมที่ปรึกษาส่วนตัว โดยมีเลขาธิการสำนักงานกฤษฎีกา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเลขาธิการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อช่วยดูสิ่งที่ดำเนินการต่าง ๆ ว่า ต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร รวมถึงจะแต่งตั้งที่ปรึกษา ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านทหาร กฎหมาย แผนที่ ประวัติศาสตร์ อีกประมาณ 8 คน เพราะมองเห็นแล้วว่างานในข้างหน้า ลำพังกลไก GBC หรือ ศบ.ทก. จะเกินกำลัง ดังนั้น ต้องมีผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญมาช่วยงานในสิ่งที่ควรดำเนินการต่อไป
พลเอกณัฐพล ยังระบุว่า ได้รับทราบถึงปัญหาประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ต้องการกลับบ้านแล้ว ที่ห่วงเรื่องผลผลิตทางการเกษตร ที่บางอย่างต้องเก็บเกี่ยวแล้ว เพราะหากช้าไปอาจจะเกิดการสูญเสียได้ จึงได้ประสานไปยังแม่ทัพภาคที่ 2 ให้หารือกับผู้ว่าราชการจังหวัด 4 ชายแดน เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แต่เพื่อความปลอดภัยขอความร่วมมือให้อยู่ในศูนย์พักพิงก่อน พร้อมขอบคุณน้ำใจประชาชน 4 จังหวัดชายแดน ที่แม้จะมีความเดือดร้อน ไม่เคยพูดตัดพ้อให้ ศบ.ทก. หรือ คณะกรรมการ GBC แต่อย่างใด
และส่วนตัวทราบว่าประชาชนเดือดร้อนมาก จึงขอบคุณความอดทนอดกลั้นของประชาชน และจะพยายามคลี่คลายสถานการณ์ให้เป็นไปตามลำดับ ทั้งนี้ ในพื้นที่สามารถประเมินและตัดสินใจให้ประชาชนกลับบ้านได้เองโดยไม่ต้องรายงานต่อที่ประชุม ศบ.ทก. รับทราบ แต่ขณะนี้ฝ่ายทหารยังเป็นห่วงเรื่องระเบิดที่ตกมายังประเทศไทย เพราะมีลูกจรวดบางส่วนยังตกค้างอยู่ในพื้นที่ กังวลว่าประชาชนจะไม่ปลอดภัย แม้ว่าชุด EOD ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เข้ามาช่วยเก็บกู้ระเบิดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีที่ยังไม่ได้ตรวจสอบอีก ดังนั้น ฝ่ายทหารต้องประเมินอีกครั้ง เมื่อทหารและตำรวจมั่นใจแล้วก็จะส่งกลับบ้าน และย้ำว่า จุดที่จะทำลายระเบิดใกล้แนวชายแดนประสานกับกัมพูชาแล้ว เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด พร้อมยืนยันว่า ไทยจะไปวางวัตถุระเบิด เพื่อสร้างสถานการณ์ทำไม เพราะเกิดความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สิน
ขณะที่ผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ตราด ที่เดือดร้อน ขอให้อดทนอีกนิด เมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้ว จะผ่อนปรนมาตรการตามลำดับ
ส่วนเหตุผลที่กัมพูชาไม่รับข้อเสนอ 2 ข้อนั้น ไม่ได้ให้เหตุผล แต่ทราบได้ว่ากัมพูชายังคงอาศัยเรื่องกับระเบิดเป็นเครื่องป้องกันกำลังของตนเองที่ดำรงอยู่ ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่ากัมพูชาก็ไม่ไว้ใจไทย และไทยก็ไม่ได้ไว้ใจกัมพูชา ดังนั้น การบรรลุข้อตกลงในเบื้องต้นถือว่าดีมากแล้ว และเหมาะสมกับสถานการณ์ขณะนี้ ซึ่งไทยจะหยิบยก 2 ประเด็นนี้จะนำไปหารือในที่ประชุม GBC ในครั้งต่อไป และจะพูดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ากัมพูชาจะยอมรับ ซึ่งไทยได้พูดให้นานาชาติรับทราบแล้ว.-314.-สำนักข่าวไทย