ทำเนียบรัฐบาล 6 ส.ค.- “ภูมิธรรม” ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษ พิจารณาข้อตกลงหยุดยิงไทย-กัมพูชา ด้าน “บิ๊กเล็ก” ตั้งเกณฑ์วัดความจริงใจกัมพูชา 3 ระดับ บอกผ่าน GBC ระดับเลขาฯ แล้ว เบื้องต้นบรรลุข้อลงหยุดยิง ตามข้อเสนอ 8 ข้อ ขอรอดูปฏิบัติจริง ย้ำ MOU43 ยังมีประโยชน์เป็นข้ออ้างกล่าวหาเขมรได้-ขอสบายใจ ยึดประโยชน์ชาติ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีรัฐพิเศษเพื่อที่จะรับรองข้อตกลงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ภายหลังคณะเลขานุการ GBC ไทย ได้เดินทางไปยังประเทศมาเลเซียเพื่อหารือในวงเล็กมาก่อนหน้านี้
โดยบรรยากาศการประชุมมีบรรดารัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมอาทิ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชูศักดิ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย รวมถึงคณะเลขานุการ GBC เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
พลเอกณัฐพล เปิดเผยก่อน การประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมกับ คณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลจากคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) โดยฝ่ายเลขานุการ โดยระบุว่าผลการหารือของฝ่ายเลขานุการ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย เห็นชอบข้อเสนอร่วมกันทั้งสองฝ่าย แต่รายละเอียดต้องมาดูอีกครั้งว่าตรงกับที่ สมช.ได้ให้ความเห็นชอบ ไว้ประมาณ 13-14 ข้อ หรือไม่ ซึ่งส่วนตัวตนมองว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี หากกัมพูชามีความจริงใจที่จะหยุดยิง จริงๆ จากการบรรลุข้อตกลงในระดับเลขานุการ
ทั้งนี้ ส่วนตัวแบ่งเป็นสามระดับ คือ ในระดับหนึ่งเกณฑ์ที่ตนวัดไว้ผ่านแล้ว ส่วนการประชุมในระดับรัฐมนตรีพรุ่งนี้จะเป็นการวัดความจริงใจระดับสอง ส่วนที่เหลือคือระดับสามจะวัดว่าเมื่อถึงเวลาการปฏิบัติจริงจะทำตามข้อตกลงหรือไม่
โดยปกติเมื่อมีการประชุมกองเลขาของจีบีซีฝ่ายกัมพูชามักจะรอฟังข้อเสนอจากฝ่ายไทยและให้ข้อพิจารณามาในการแลกเปลี่ยนซึ่งสามวันผ่านไปได้ข้อสรุปที่น่าพอใจ ซึ่งต้องวัดดูในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง
ส่วนที่ไทยยื่นข้อเสนอไปมีเรื่องเงื่อนไขเวลาหรือไม่ พล.อ.ณัฐพล ระบุว่า ก็มีแต่ต้องขอดูรายละเอียด ซึ่งล่าสุดเมื่อช่วงเช้าว่าเป็นอย่างไร แต่ขอให้ทุกท่านสบายใจได้เรายึดถือผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักคำนึงถึงอธิปไตยและที่อยากเน้นย้ำการประชุม GBC มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองประเทศเป็นประธาน ฉะนั้นสิ่งที่พิจารณาจะมุ่งไปที่ทางด้านความมั่นคง ในเรื่องการหยุดยิง แต่มีงานที่ต้องทำอีกหลายอย่าง เช่น การเรียกร้องค่าเสียหายของพลเรือน แต่ในกรณีเขตแดนจะไม่ไม่พูดถึง จะรอให้เข้าสู่ JBC ซึ่งดูขั้นตอนเยอะเพราะต้องมีความรอบคอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณาหลายอย่าง
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้รักษาราชการนายกรัฐมนตรีในสั่งการให้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นประธานในการประชุมพิจารณาแบ่งมอบงานให้ประชาชนได้สบายใจว่าใครจะเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องใด ขณะที่ ศบ.ทก. เรามุ่งไปที่ปัญหาเฉพาะหน้า เนื่องจากมีหน่วยราชการรวมการทำงานซึ่งจะทำให้กลไกปกติไม่สามารถทำงานได้ แทนที่จะทำงานปกติกลับต้องทำงานกลไกพิเศษซึ่งเป็นสิ่งที่ควรเป็น
ส่วนเงื่อนไข ที่กัมพูชาขอกลับไปทบทวนเกี่ยวกับเรื่องใดนั้น ตนยังไม่ทราบ เมื่อวานนี้ยังซักถามทางเลขา ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่ได้ข้อสรุปซึ่งจะต้องรอฟังในวันนี้
ส่วนหลังจากนี้ขั้นตอนคณะกรรมการอื่นๆจะง่ายขึ้นหรือไม่ ในความรู้สึกของตนไม่น่าจะเกี่ยวพัน สำหรับกลไกที่เกี่ยวเนื่องคืออาร์บีซี ซึ่งในที่ประชุม GBC เรื่องการหยุดยิงการรับกำลังการวางกำลังให้ RBC ป็นผู้กำหนด ซึ่ง GBC เป็นการตีกรอบไปให้ ส่วนกลไก JBC เป็นสิ่งที่ทางกัมพูชาบ่ายเบี่ยงมา โดยตลอดเพราะเราอยากให้เข้าสู่ที่ประชุมนี้เพราะเป็นการพูดคุยเรื่องเขตแดน แต่ทางกัมพูชาอยากนำเรื่องเข้าสู่ศาลโลกซึ่งไทยไม่ยอมรับในส่วนนี้ซึ่งกำลังมีการพูดคุยกัน ซึ่งจะเห็นว่ามีหลายงานและหน่วยรับผิดชอบก็แตกต่างกันไป
พล.อ. ณัฐพล ยังระบุถึง กรณีที่ กัมพูชาต้องการที่จะขึ้นศาลโลกและเหตุใดจึงไม่มีการยกเลิกMOU 43 ว่า MOU43 ยังมีประโยชน์ และที่เราสามารถกล่าวหากัมพูชาได้กับนานาชาติได้ เพราะหากไม่มีกติกาอ้างอิงในการกล่าวหาเขาได้ เช่น การเข้ามาขุดคูเลท บริเวณเขตประเทศไทยถือว่าผิด MOU43 ซึ่งหากไม่มีตรงนี้เราจะกล่าวหาเขาอย่างไร ได้แต่กล่าวหาได้อย่างเดียวแต่ไม่มีกรอบที่จะอ้าง ซึ่งมองว่าส่วนที่เป็นประโยชน์
พล.อ.ณัฐพล กล่าวว่ากรอบข้อตกลงที่เสนอไปยังกัมพูชายังเป็น 8 ประเด็น เฉพาะข้อตกลงหยุดยิง และมีอีก 6 ประเด็นที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกัน ซึ่งกัมพูชารับทั้งหมด แต่ช่วงบ่ายวันนี้สื่อของกัมพูชากลับรายงานว่าไม่ได้เต็มใจรับเงื่อนไข ซึ่งเรื่องนี้คิดว่าไม่เป็นปัญหาเพราะคุยกันด้วยเอกสาร จะไปพูดอย่างอื่น สื่ออาจจะข้อมูลคลาดขึ้นก็ได้ แต่เราดูจากเอกสาร หากเอกสารมีความเห็นพ้องต้องกัน ก็ต้องเห็นพ้องต้องกัน และอีกอย่างหนึ่งมีผู้สังเกตการณ์อยู่ด้วย ผู้สังเกตการณ์ก็ต้องพยานให้เราอยู่แล้ว ซึ่งการมีผู้สังเกตการณ์ก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ในการเจรจากับกัมพูชาอย่างน้อยก็มีประเทศที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 เป็นพยานด้วยว่ากับตกลงกันไว้อย่างนี้ ต่อไปก็เป็นการกำกับว่า ทำตามที่ตกลงกันไว้หรือไม่ อันนี้คือข้อดีของการมีผู้สังเกตการณ์ แต่ข้อเสียก็คือ ความจริงแล้วควรพูดคุยกันในระดับทวิภาคีมากกว่า.-312, 314 -สำนักข่าวไทย