ปชน. ยกเป็นประวัติศาสตร์ หลังสภาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กลุ่มชาติพันธุ์ฯ

รัฐสภา 6 ส.ค. – สส.ประชาชน ยกเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรก หลังสภาฯ เห็นชอบร่าง พ.ร.บ.กลุ่มชาติพันธุ์ฯ ถือเป็นของขวัญให้กับพี่น้องชาวชนเผ่าพื้นเมือง ก่อนวันชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย 9 ส.ค. นี้


นายมานพ คีรีภูวดล พร้อมด้วย นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.พรรคประชาชน และคณะ แถลงข่าวภายหลังสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. …. ตามที่วุฒิสภามีการแก้ไข โดยระบุการที่สภาฯ มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ ถือว่าเป็นการให้ของขวัญพี่น้องประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ซึ่งในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ เป็นวันชนเผ่าพื้นเมืองสากล และมีการจัดงานทุกปีขณะที่พรรคผลักดันประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ปรากฏการณ์ครั้งนี้จึงถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของรัฐสภาและถือว่าเป็นครั้งแรกในการเสนอกฎหมายลักษณะเดียวกัน ส่วนของสภาผู้แทนราษฎร คือ พรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย คณะรัฐมนตรี และภาคประชาชน ร่วมกันเสนอกฎหมายในลักษณะเดียวกันทั้ง 5 ฉบับ จนผ่านการพิจารณาของสภาฯ

สำหรับเรื่องข้อถกเถียงเป็นเรื่องปกติที่ควรจะเกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็มีข้อสรุปที่ตรงกัน แม้ว่าในหลาย ๆ ข้ออาจจะไม่ตรงกับที่พี่น้องประชาชนเสนอมา เช่น นิยามความหมายคำว่า กลุ่มชนพื้นเมือง ซึ่งในชั้นวุฒิสภามีการจำกัดวงให้แคบลง และในเรื่องการประกาศเขตคุ้มครองตนเองก็เป็นปัญหาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งอาจจะยังไม่ครบกระบวนความตามความต้องการของทุกฝ่าย แต่โดยรวมทั้งหมดของกฎหมายฉบับนี้เป็นเนื้อหาที่สามารถดำเนินการได้ ในนามของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง คิดว่าพื้นที่การเมืองของพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทยได้ปรากฏขึ้นชัดเจน และถูกเขียนไว้ในกฎหมาย นอกเหนือจากเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ วันนี้ ถือเป็นโอกาสทางประวัติศาสตร์ว่ากฎหมายได้ตราขึ้นมารับรองเรื่องสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อยืนยันถึงความมีตัวตน และเป็นของขวัญให้กับพี่น้องชาวชนเผ่าพื้นเมืองของประเทศไทย ให้ได้ร่วมฉลองในวันที่ 9 สิงหาคม นี้ หลังจากนี้ ได้หารือกับเพื่อน สส. ถึงบทบาทต่อไปในสภาผู้แทนราษฎรจะมีการตั้งคณะอนุ กมธ. เพื่อศึกษากระบวนการในการกำหนดประกาศเขตคุ้มครองทางวัฒนธรรม ซึ่งจะเป็นแนวทางสำหรับพี่น้องประชาชนและหน่วยงานในการใช้กฎหมายฉบับนี้ รวมทั้งจะมีการถอดบทเรียนและสรุปผลการดำเนินงานที่ผ่านมา จากการใช้มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2553 พร้อมทั้งช่วยเตรียมกฎหมายลำดับรองให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป


นายเลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า พรรคประชาชนมีการจัดตั้งเครือข่ายต่าง ๆ ขึ้นมา และหนึ่งในนั้นคือ เครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อทำหน้าที่ในการผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะเรื่อง ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จึงเป็นหนึ่งในผลงานของเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งเราดำเนินการมาตั้งแต่สมัยพรรคก้าวไกลต่อเนื่องมาจนถึงพรรคประชาชน สำหรับร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสภาฯ วาระหนึ่ง เมื่อปี 2567 และใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง ในการต่อสู้ในชั้น กมธ.และสภาผู้แทนราษฎร แม้ว่าหลักการหลาย ๆ เรื่องจะหล่นหายไประหว่างทาง หลาย ๆ เรื่องมีคนไม่เข้าใจ หลาย ๆ เรื่องต้องต่อสู้ทางความคิดกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่เราได้มาจากการต่อสู้มีอยู่หลายประเด็น เช่น การบัญญัติให้รับรองสิทธิและส่งเสริมวัฒนธรรม การต่อยอดการพัฒนาวัฒนธรรม รวมทั้งสิทธิในที่ดินและทรัพยากรซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาร่างกฎหมายฉบับนี้ สิทธิในการพัฒนาเรื่องต่าง ๆ เช่น เรื่องโครงสร้างพื้นฐาน การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องที่มีผลกระทบต่อชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น การออกกฎระเบียบบางอย่างที่จะไปกระทบสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์

ส่วนในประเด็นที่ยังเป็นปัญหาอยู่ คือ 1. การออกกฎหมายห้ามไม่ให้มีการใช้สื่อโฆษณาหรือเผยแพร่อันเป็นการสร้างความเกลียดชัง สร้างความเหยียดหยามต่อกลุ่มชาติพันธุ์ซึ่งจะนำไปสู่การแตกแยกในสังคม แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ประเด็นดังกล่าวถูกตัดออกไปในชั้นวุฒิสภา และเป็นที่น่ากังวลว่าทุกวันนี้ยังมีการเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดียในการโจมตีและสร้างความเกลียดชังต่อกลุ่มชาติพันธุ์ 2. การประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยมีเจตนาในการประกาศพื้นที่และยกเว้นการใช้กฎหมายป่าไม้ ซึ่งกระทบต่อการดำเนินชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ นอกจากนี้ ยังมีหลายเรื่องที่ยังต้องทำต่อเพราะกฎหมายฉบับนี้ถือเป็นครั้งแรกในการสถาปนาระบบกฎหมายระดับ พ.ร.บ. ในการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเป็นก้าวย่างที่สำคัญมาก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือการต่อสู้ในการออกกฎหมายระดับรองในหลาย ๆ ประเด็น ซึ่งมีความสำคัญมากเช่นกัน หลักการจะไม่มีประโยชน์ หากไม่มีกฎหมายลำดับรองในการคุ้มครองได้จริง และต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ. อีกหลายเรื่อง ซึ่งเป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรและพรรคประชาชนที่จะต้องดำเนินการผลักดันให้มีการดำเนินการดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ต้องขอบคุณทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญในการผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ รวมทั้งสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-Move นักวิชาการ และสื่อมวลชนที่มีส่วนสำคัญอย่างมากในการร่วมผลักดันกฎหมายฉบับนี้ -สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศบ.ทก. เผย GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย จ่อชง สมช.-ครม.นัดพิเศษ

ทำเนียบ 6 ส.ค.- ศบ.ทก. เผยข่าวดี ที่ประชุม GBC สรุปข้อตกลง 2 ฝ่าย พร้อมเตรียมเสนอให้ สมช. – ครม. นัดพิเศษ พิจารณาเย็นนี้ ก่อน รมช.กห. เดินทางร่วมลงนามพรุ่งนี้ ด้าน กต. เตรียมประชุมทูตทั่วโลก เพื่อชี้แจงสถานการณ์ให้นานาชาติเข้าใจ หลังพาองค์การระหว่างประเทศเยี่ยม 18 เชลยศึก ขณะที่ผ่อนปรนให้โดรนเพื่อการเกษตรบินได้หลัง 15 ส.ค.นี้ พลเรือตรีสุรสันต์ คงสิริ โฆษกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา (ศบ.ทบ.) และนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองอธิบดีกรมสารนิเทศและรองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ พร้อมกับนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงการณ์ภายหลังจากการประชุมความคืบหน้าสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือตรีสุรสันต์ แถลงว่าสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ในส่วนของความมั่นคงในห้วงที่ผ่านมา สถานการณ์โดยทั่วไปอยู่ในสภาวะปกติ มีการเสริมที่มั่นทางทหารในพื้นที่บางส่วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่มีการเสริมกำลังทหารแต่อย่างใด ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเช่นเดียวกันก็มีการตรวจพบว่ามีการใช้โดรนเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในสถานการณ์ไทยห้ามบินโดรนทั่วประเทศ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงยังเข้มงวดในการสกัดกั้น ตรวจตรา ตรวจสอบ รวมทั้งดำเนินการตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 15 […]

กกพ.จี้ MEA แจงปัญหาไฟดับ

กรุงเทพฯ 6 ส.ค. – สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) จี้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งปัญหาไฟดับเป็นบริเวณกว้าง ด้านประชาชนแห่คอมเมนต์ผลกระทบและต้องการเห็นการชดเชย จากปัญหาความเดือดร้อนคนกรุงเทพฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา (5 ส.ค.) เวลา 22.12 น. เกิดไฟดับเป็นบริเวณกว้างในพื้นที่ย่านสะพานควาย เขตพญาไท ถ.ประดิพัทธ์ และ ถ.พระรามที่ 6 และ MEA แก้ไขจนจ่ายครบเวลา 23.50 น. ทางสำนักงาน กกพ.แจ้งว่าได้ประสานให้การไฟฟ้านครหลวง (MEA) รายงานข้อเท็จจริง และแนวทางการแก้ไขและป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุขึ้นอีก ในขณะที่ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบต่างระบุเดือดร้อนจากเหตุไฟดับ ต้องการให้ MEA ชี้แจงสาเหตุที่ชัดเจน บางส่วนก็ชื่นชม แก้ปัญหาได้รวดเร็ว บางส่วนก็ต้องการเห็น การชดเชยจาก MEA เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่เศรษฐกิจและมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยไฟดับทั้งอาคาร ดับทั้งไฟสาธารณะ ไฟจราจร สัญญาณอินเทอร์เน็ต ทั้งนี้ MEA ชี้แจงเบื้องต้นสาเหตุเกิดจากความขัดข้องทางเทคนิคของอุปกรณ์ในสถานีไฟฟ้าย่อย ในระหว่างการเตรียมการเพื่อปฏิบัติงานปรับปรุงระบบจ่ายไฟฟ้าตามปกติ, ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือภัยคุกคามทางไซเบอร์ สาเหตุที่แท้จริงของอุปกรณ์ขัดข้องจะชี้แจงต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานว่า […]

ตำรวจเตรียมสอบเชิงลึกชาย BHQ หวั่นเป็นไส้ศึก

บุรีรัมย์ 6 ส.ค.-ตำรวจ สอบปากคำชายชาวกัมพูชา พบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ อ้างเคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับ กรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จังหวัดบุรีรัมย์ จับกุมชายชาวกัมพูชา ได้ที่บ้านพักภรรยาคนไทยและมีเครื่องแบบทหารพร้อมตราสัญลักษณ์ BHQ จากการสอบปากคำ เคยเป็นทหารหน่วย BHQ จริง แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็นแล้ว มาทำงานอยู่ไทย แล้วถูกสวมชื่อ จากการตรวจสอบพบมีการใช้ชื่อถึง 4 ชื่อ ซึ่งแต่ละชื่อไม่ตรงกัน และอ้างว่าเมื่อก่อนเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ล่าสุดมีการลักลอบเข้ามาผ่านช่องทางธรรมชาติทาง จ.สระแก้ว โดยอ้างว่าจ่ายเงินบุคคลที่พาเข้า 4,000 บาท แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อการคำให้การ เกรงว่าอาจจะแฝงตัวเข้ามาเป็นสายลับคอยส่งข้อมูลความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับความมั่นคงของไทย ไปให้ฝั่งกัมพูชา จากการตรวจสอบข้อมูลในโทรศัพท์พบมีรูปถ่ายกายแต่งกายทหารและถือปืน เบื้องต้นทางตำรวจจะดำเนินคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย และลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต.-สำนักข่าวไทย

GBC หารือใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืนถกถึงเที่ยงคืน

มาเลเซีย 6 ส.ค.-GBC ประชุมใหม่เช้านี้ หลังเมื่อคืน ฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ การหารือภายใต้กรอบ GBC ณ เวลา 07.45 น. วันนี้ (ตามเวลาท้องถิ่น) เมื่อคืน คณะเลขานุการ GBC ของทั้งสองฝ่าย ได้เจรจากันถึงเวลา 00.15 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) แต่ไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในบางประเด็นสุดท้าย เนื่องจากฝ่ายเลขานุการ GBC ของฝ่ายกัมพูชา ไม่สามารถตัดสินตกลงใจได้ในบางหัวข้อและต้องส่งกลับไปให้พนมเปญพิจารณาต่อ จึงได้นัดประชุมอีกครั้ง เวลา 08.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น) วันนี้ เพื่อหาข้อสรุปสำหรับประเด็นดังกล่าว โดยเมื่อเวลา 07.40 น. รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ได้โทรศัพท์มาพูดคุยกับคณะเลขานุการ GBC ของฝ่ายไทยติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ให้กำลังใจ และชื่นชมในการทำงานอย่างหนักถึงวินาทีสุดท้ายของทีมไทยแลนด์ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเจรจา เพื่อบรรลุผลและปกป้องผลประโยชน์ของไทย.-สำนักข่าวไทย