“ภูมิธรรม” มอบอำนาจกองทัพดูแลเหตุการณ์ชายแดน-รมว.กต.คุยยูเอ็นแล้ว

ทำเนียบฯ 24 ก.ค. – “ภูมิธรรม” เผยประชุมสภาความมั่นคง และ ครม.วาระพิเศษ แก้ไขสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันกัมพูชายั่วยุเปิดฉากยิงก่อน เป้าหมายไม่ชัดเจน ทำให้พลเรือนเสียชีวิต 10 ราย ทหาร 1 นาย มอบจังหวัดดูแลประชาชนอพยพห่างชายแดน 50 กิโลเมตร ยังไม่คุยกัมพูชา จนกว่าสถานการณ์จะยุติ ระบุไม่มีประกาศสงคราม แต่มอบอำนาจกองทัพตัดสินใจดูแลเหตุการณ์ ก่อนรายงานรัฐบาล แต่ย้ำต้องอยู่ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ ไม่จำเป็นดึงต่างประเทศเป็นตัวกลางเจรจา พร้อมเผย “มาริษ“ คุยยูเอ็นแล้ว ย้ำปฏิบัติการทางทหารจะยุติเร็วที่สุด


นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ วาระพิเศษ ที่มีคณะรัฐมนตรี ตัวแทนเหล่าทัพ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ว่าเนื่องจากเกิดเหตุการณ์ปะทะกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะเดียวกันยังเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษไปด้วย โดยเชิญเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเข้าร่วม ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนั้น จึงเป็นการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาตินัดพิเศษ และคณะรัฐมนตรีนัดพิเศษด้วย เพราะหลายเรื่องจำเป็นต้องใช้มติคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการ พร้อมระบุว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ปะทะกัน เท่าที่รับรายงานจากหน่วยทหารที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่ากัมพูชาได้ยิงเข้ามาและเปิดฉากใส่ทหารไทยก่อน จนนำไปสู่เหตุการณ์บานปลาย จนถึงเวลานี้มีการใช้อาวุธหนัก แต่สิ่งสำคัญคือการยิงของกัมพูชาใช้อาวุธหนัก และยิงเข้ามาในเขตแดนประเทศไทย โดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน และเป็นการยิงที่เกี่ยวข้องกับพลเรือน ทำให้พลเรือนไทยเสียชีวิตทั้งหมดขณะนี้มีตัวเลขผู้เสียชีวิต 11 ราย เป็นพลเรือน 10 ราย และทหาร 1 นาย มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 28 คน โดย 24 คนเป็นพลเรือน อีก 4 คนเป็นทหาร

“ขอประณามกัมพูชาว่าเป็นการใช้อาวุธหนักที่รุนแรง ไม่มีเป้าหมาย และไม่ได้จำกัดเฉพาะเขตการต่อสู้ ซึ่งทหารกัมพูชายิงเข้ามาบริเวณปั๊มน้ำมันในร้านสะดวกซื้อ และบางส่วนกระสุนยิงเข้ากลางโรงพยาบาล บางส่วนห่างพื้นที่โรงพยาบาล 3 กิโลเมตร ดังนั้น ไทยขอประฌามเป็นการกระทำที่ไม่ยึดกฎหมายระหว่างประเทศ ย้ำว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ใช่การประกาศสงคราม เป็นแค่การปะทะกัน โดยไทยยืนยันหลักการว่าต้องใช้สันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรง และต้องใช้การพูดคุยกันในการแก้ไขปัญหา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะที่มีการยั่วยุจากฝั่งกัมพูชามาโดยตลอด ซึ่งไทยต้องป้องกันตัวเองและป้องกันอธิปไตยของประเทศ ถือเป็นหัวใจสำคัญ ยอมไม่ได้ที่จะมีลักษณะบุกรุกในการละเมิดอธิปไตยต่อประเทศไทย ดังนั้น จึงต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่” นายภูมิธรรม กล่าว


นายภูมิธรรม ยังระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำที่กัมพูชาได้ก่อขึ้นอย่างน้อย 2 เหตุการณ์ในเขตพื้นที่ที่มีการลาดตระเวนของทหารไทยและกัมพูชาตามข้อตกลงเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาที่ผ่านมามีการลาดตระเวนมาโดยตลอด แต่กลับมีระเบิดเกิดขึ้น ล่าสุดทำให้สูญเสียขาของทหาร จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ดังนั้น ไทยจะต้องแสดงความชัดเจนในเรื่องนี้ พร้อมระบุว่าขณะนี้ไทยได้เตรียมการและแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้ว โดยทางกองทัพได้ดำเนินการปกป้องอธิปไตยในพื้นที่อย่างเต็มที่ ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้รับผิดชอบ ขณะเดียวกันรัฐบาลได้มอบอำนาจให้กองทัพดำเนินมาตรการต่างๆ ตามความจำเป็นโดยยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะเมื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน อาจจะไม่มีเวลามาขออนุญาต จึงต้องดำเนินการไปตามขอบเขต และแจ้งให้กับรัฐบาลทราบโดยเร็ว

นอกจากนี้สิ่งที่เกิดขึ้นครอบคลุมพื้นที่ 4 จังหวัด คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ดังนั้น ยังต้องควบคุมอยู่ในพื้นที่ แต่ได้ระมัดระวังป้องกันตามแนวชายแดนอย่างเต็มที่ โดยให้กระทรวงมหาดไทยอพยพคนออกจากพื้นที่ให้ไกลกว่าชายแดน 50 กิโลเมตร ถือเป็นระยะที่ปลอดภัย และสั่งการให้ดูแลอพยพประชาชน ซึ่งมีแผนรองรับอยู่แล้ว และได้ดำเนินการอย่างเรียบร้อย ขณะที่มติที่ประชุมวันนี้และเป็นมติคณะรัฐมนตรี ให้ดูแลประชาชนและเยียวยาผู้เสียชีวิต ผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างดีที่สุด โดยเป็นไปตามระเบียบที่วางไว้ พร้อมระบุว่าโรงเรียนตามแนวชายแดนถูกสั่งปิด เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับนักเรียน

ขณะที่กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลง โรงพยาบาลอำเภอบริเวณชายแดนให้เป็นโรงพยาบาลสนาม และได้อพยพคนไข้ รวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดไปสู่แนวหลัง และอยู่ในจุดที่ปลอดภัย ส่วนมาตรการกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการไปแล้ว ทั้งลดระดับทางการทูตกับกัมพูชา ถือว่าเป็นระดับที่รุนแรงแล้ว


ส่วนจะมีการพูดคุยระดับสองประเทศเพื่อให้เหตุการณ์ยุตินั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตอนนี้ต้องให้สถานการณ์ยุติก่อน เพราะไทยไม่ได้เป็นผู้เริ่ม ถ้าแสดงความจริงใจต่อกันสามารถพูดคุยกันได้ แต่ขณะนี้รู้สึกว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายยั่วยุ ดังนั้น ต้องดำเนินการตามครรลองที่เกิดขึ้น ขณะที่มาตรการช่วยเหลือประชาชน จังหวัดมีมาตรการอยู่แล้ว รวมถึงการเบิกงบในการช่วยเหลือ

ส่วนมีรายงานเรื่องความเสียหายของทางกัมพูชาหรือไม่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องยุทธการไม่ขอพูดถึง และไม่ทราบกระแสข่าวสมเด็จฮุน เซน บินออกนอกประเทศกัมพูชา เพราะไม่ได้ติดตามเรื่องของคนคนนั้น ห่วงใยเฉพาะคนในประเทศเรา และสนใจเฉพาะเหตุการณ์ที่มีการปะทะกันและบานปลาย เพื่อคำนึงถึงชีวิตทหารหาญ และประชาชนคนไทย

ส่วนที่ทางกัมพูชามีการยื่นหนังสือถึงยูเอ็น ทางฝั่งไทยมีการดำเนินการอย่างไร นายภูมิธรรม ชี้แจงว่า นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อยู่ที่นิวยอร์ก สหรัฐ และได้คุยกับเลขาธิการสภาความมั่นคงขององค์การสหประชาชาติ ตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา จากนั้นได้รายงานและหารือกับรัฐบาลถึงแนวทางที่จะดำเนินการมาตรการในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ รวมทั้งชี้แจงสถานการณ์ให้เข้าใจ ส่วนรายละเอียดของหนังสือทำชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รอกระทรวงการต่างประเทศแถลงรายละเอียดอีกครั้ง ยืนยันไม่ได้มีการปกปิด แต่พื้นที่เป็นเรื่องความละเอียดอ่อน ยืนยันว่าโดยหลักการการจะเกี่ยวข้องกับอธิปไตยของประเทศและการรุกล้ำเข้ามาในประเทศไทย เราต้องปกป้องตนเอง และยืนยันถึงมาตรการของกระทรวงการต่างประเทศ แต่เนื่องจากรายละเอียดบางอย่างยังไม่สามารถเปิดเผยได้ โดยเฉพาะด้านยุทธการ พอจะทำให้กัมพูชารู้ความเคลื่อนไหว และอาจจะทำให้เกิดการเพลี่ยงพล้ำ

ทางกองทัพได้มีการขีดเส้นหรือไม่ว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะยุติเมื่อใด นายภูมิธรรม กล่าวว่า การปฏิบัติการจะให้ยุติโดยเร็วที่สุด

ถ้าสมมติว่าทางกัมพูชาอยากจะเจรจาเพื่อให้เหตุการณ์ปกติ เราจะมีวิธีการอย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า วิธีการนั้นพูดไม่ได้ แต่เขาต้องยุติความรุนแรง และสิ่งที่สำคัญต้องระมัดระวังเรื่องข่าวลือ หากข่าวยังไม่ชัดเจนก็ยังไม่ควรไปเผยแพร่ เพราะอาจทำให้เกิดความรุนแรงไปมากกว่านี้ ย้ำว่ากองทัพสามารถดูแลและปกป้องประเทศได้ มีความพร้อมทุกอย่าง แต่หากเหตุการณ์บานปลายจะกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินประชาชน ขณะนี้ให้ตำรวจดูแลทรัพย์สินของประชาชนที่อพยพออกจากพื้นที่

ถ้ากัมพูชาใช้มาตรการรุนแรง ไทยจะใช้มาตรการรุนแรงกลับไปหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า จะดูแลตามสถานการณ์ โดยไม่ให้อธิปไตย เราเสียหายไม่ให้ประเทศเสียหาย อย่าไปพูดว่าจะรุนแรงไปรุนแรงมาก การพูดนั้นไม่ได้ดีเท่ากับการทำ เพราะการกระทำที่ดีจะสามารถแก้ปัญหาได้ พูดไปมีแต่ยั่วยุ

ทั้งนี้ จำเป็นต้องดึงองค์การระหว่างประเทศมาเป็นตัวช่วยในการเจรจาหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ยังไม่จำเป็น ตอนนี้อยู่ระหว่างดำเนินการและแจ้งให้ทราบ ให้องค์การระหว่างประเทศได้รับทราบ

“รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชน ยืนยันเราไม่ยอมสูญเสียอธิปไตยของประเทศ เราป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ และให้ความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐบาลจะรับผิดชอบและดูแลความปลอดภัยและทำทุกอย่างเท่าที่เงื่อนไขเราจะทำได้” นายภูมิธรรม กล่าว.-315-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“พี สะเดิด” เปิดใจเป็นมะเร็งเต้านมนานเกือบ 20 ปี แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย

กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – “พี สะเดิด” เจ้าของเพลงฮิต “จี่หอย” เผยเป็นมะเร็งเต้านมมานานเกือบ 20 ปี ตัดสินใจหยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งต่อสู้กับโรค จนค่ามะเร็งดีขึ้น แพทย์ชี้พบได้น้อยมากในผู้ชาย “พี สะเดิด” นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง อายุ 46 ปี เปิดใจว่าป่วยเป็นมะเร็งเต้านม มาเกือบ 20 ปีแล้ว รักษาโรคนี้โดยที่ไม่บอกใครเลย เพราะกลัวครอบครัวเป็นห่วง ตอนแรกมีอาการเจ็บหน้าอก และพบว่าก้อนเนื้อมันขึ้นเรื่อยๆ ขนาดเท่าลูกมะนาว คิดว่าเป็นเพราะไม่ดูแลตัวเอง ทำงานหนัก กิน-นอนไม่เป็นเวลา แต่เพราะเป็นคนที่ตรวจสุขภาพตลอดทุก 6 เดือน พอเช็กดูเลยรู้ว่ามีเชื้อมะเร็งเต้านม หมอบอกว่าโอกาสน้อยที่จะเห็นผู้ชายเป็นมะเร็งเต้านม จะเป็นหนึ่งในล้าน หรือหนึ่งในสิบล้าน พี สะเดิด บอกว่าตอนแรกก็กลัว เลยตัดสินใจหันหน้าเข้าทางธรรม และปรับปรุงตัวเองควบคู่กันไป กินของที่มีประโยชน์ หยุดบุหรี่ หยุดเหล้า ทำให้ตัวเราแข็งแกร่งต่อสู้กับโรคมะเร็งของตัวเอง จนตอนนี้อยู่ทุกระยะค่ามะเร็งดีขึ้น ค่อยๆ ลดลงมา จนเหลือ 0 […]

“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ

รัฐสภา 13 ส.ค.-“ชยพล” แฉ “กองทัพบก” ซื้ออุปกรณ์ฟิตเนสผู้ช่วยทูตทหารพนมเปญ ทั้งที่ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชาแล้ว ด้าน “อนุสรณ์” แจงยัน กมธ.ไม่ได้ตีเช็คเปล่า แต่ตรวจเช็กความพร้อมให้ทหาร การอภิปรายมาตรา 8 กระทรวงกลาโหม วงเงิน 9.51 หมื่นล้านบาท นายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชน (ปชน.) อภิปรายว่า ปีนี้ตัดงบกระทรวงกลาโหมยาก เมื่อถามหารายละเอียดจะมีคนพูดว่าปล่อยไปเถอะ ตอนนี้มีสถานการณ์ชายแดน ซึ่งตนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้งบประมาณ เพราะเป็นห่วงทหารหน้างานเช่นกัน เลยต้องดูงบประมาณว่าใช้ถูกจุดหรือไม่ นายชยพล กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ ตนเห็นงบเกี่ยวกับอุปกรณ์การแพทย์ คิดว่าเป็นอุปกรณ์ผ่าตัดแต่กลายเป็นว่าเป็นอุปกรณ์สำหรับม้า ตนหาอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อดูว่าใส่ใจทหารมากแค่ไหน แต่กลับไม่พบอุปกรณ์สำหรับขันชะเนาะห้ามเลือดที่ใช้ได้ด้วยมือข้างเดียว มีแค่สายยางไส้ไก่ ถ้าอยู่คนเดียวจะทำอย่างไร อยากถามว่าเราใส่ใจบุคลากรของเราจริงหรือไม่ และที่ข้องใจคือเราตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกัมพูชา มีการเรียกทูตไทยประจำพนมเปญกลับ แต่ปรากฏว่ากองทัพบกสั่งอุปกรณ์ฟิตเนสไปเติมที่บ้านผู้ช่วยทูตทหารอยู่เลย จะมีใครได้อยู่ใช้หรือไม่ “นี่เป็นเหตุผลว่าแม้อยู่ในความขัดแย้งแต่ต้องตรวจสอบกองทัพอย่างเข้มข้น การที่รัฐบาลเซ็นเช็คเปล่าให้กองทัพโดยไม่ตรวจสอบ คือการทำให้กองทัพอ่อนแอ คนที่ชอบออกมาพูดเชียร์ทหารอยากให้คิดไว้ด้วยว่า หากรักชีวิตทหารจริง ก็อยากให้ฟังทหารชายแดนว่าเขาลำบากอย่างไร การทำงานของนายพลสะท้อนความต้องการคนเหล่านั้นจริงหรือไม่” ด้าน นายสรวุฒิ เนื่องจำนงค์ กมธ.เสียงข้างมากชี้แจงว่า […]

“สืบพงษ์” ขึ้นศาลสืบพยานนัดแรก กรณียื่นฟ้องรักษาการอธิบดี ม.รามฯ ข้อหาเบิกความเท็จ

ศาลอาญา 13 ส.ค. – ศาลนัดสืบพยาน “สืบพงษ์” ยื่นฟ้อง รักษาการ อธ.รามคำแหง พร้อมพวก ข้อหาเบิกความเท็จถูกยื่นถอดถอนเมื่อปี 65 ชี้ “ฮุนเซน” ทิ้งใบปริญญาลงโถส้วมเป็นการไม่ให้เกียรติมหาวิทยาลัย วอนยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานที่ นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ อดีตอธิการบดี ม.รามคำแหง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ รักษาการอธิการบดี ม.รามคำแหง กับพวกรวม 2 คน ในความผิดฐาน “ฟ้องเท็จ / เบิกความเท็จ นายสืบพงษ์ เปิดเผยว่า ศาลนัดสืบพยานนัดแรกในคดีที่ตนได้ฟ้องผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงฟ้องตนที่ศาลแขวงพระนครเหนือโดยกล่าวหาตนว่ากระทำตนเป็นเจ้าพนักงานทั้ง ๆ ที่ไม่มีอำนาจ จากนั้นทางศาลได้ยกฟ้องคดีดังกล่าว ซึ่งได้ดำเนินคดีที่ศาลอาญาในข้อหาฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ โดยวันนี้ตนเองเป็นพยานปากแรกที่ขึ้นเบิกความในวันนี้และจะมีพยานทั้งหมด 5 ปาก สืบพยานในวันนี้และวันที่ 14 ส.ค. ส่วนประเด็นที่ถูกถอดถอนอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2565 นั้น มีการถอดถอนตนเองทั้งหมด 2 ครั้ง หลังจากที่ดำรงตำแหน่งอธิการบดีได้ […]

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

ข่าวแนะนำ

“ลุงพล” นอนคุกยาว ศาลไม่ให้ประกันตัว เกรงหลบหนี

14 ส.ค. – ศาลฎีกายกคำร้อง ไม่อนุญาตให้ประกันตัว “ลุงพล” คดีน้องชมพู่ ชี้เป็นคดีร้ายแรง เกรงจะหลบหนี ส่งผลให้ลุงพลต้องนอนคุกระหว่างฎีกา นายประยุทธ เพชรคุณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 4 กล่าวถึงความคืบหน้าในคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ “ลุงพล” ในคดีฆ่าเด็กหญิงอรวรรณ หรือน้องชมพู่ อายุ 3 ปี รวมเป็น 26 ปี เมื่อวานนี้ ลุงพลยื่นประกันตัวและศาลจังหวัดมุกดาหารส่งให้ศาลฎีกาพิจารณา เรื่องการปล่อยชั่วคราว โดยวันนี้ศาลฎีกา ได้มีคำสั่งออกมาว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนัก ทั้งศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้องการประกันตัว ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกา ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะนำตัวลุงพลไปคุมขังที่เรือนจำจังหวัดนครพนม เนื่องจากโทษจำคุกสูง.-สำนักข่าวไทย

บุกชิงทอง

ควงปืนชิงทองกลางห้างดังย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท ขี่ จยย.หนี

สมุทรปราการ 14 ส.ค. – คนร้ายสวมชุดไรเดอร์ควงปืนจี้ชิงทอง ร้านทองกลางห้าง ย่านบางบ่อ กวาดทอง 163 บาท มูลค่ากว่า 8 ล้านบาท ก่อนขี่จักรยานยนต์หลบหนี ตำรวจเร่งล่าตัว เมื่อช่วงบ่ายวันนี้ เกิดเหตุอุกอาจภายในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ย่านบางบ่อ จ.สมุทรปราการ คนร้ายรูปร่างสูงใหญ่ สวมชุดไรเดอร์ ใส่หมวกกันน็อกเต็มใบ สะพายกระเป๋าข้าง บุกเข้าไปในร้านทองพร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่พนักงาน กวาดสร้อยคอและสร้อยข้อมือทองคำ น้ำหนักรวมราว 163 บาท หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 8 ล้านบาท วิ่งขึ้นรถจักรยานยนต์ยามาฮ่า เอ็นแม็ก ที่จอดอยู่ด้านหน้า ขี่หลบหนีไปอย่างรวดเร็ว พนักงานรักษาความปลอดภัยของห้าง ให้ข้อมูลว่า เห็นคนร้ายเดินเข้ามา จึงบอกให้ถอดหมวกกันน็อก แต่คนร้ายไม่สนใจ ก่อนบุกเข้าไปก่อเหตุในร้านทอง พนักงานชายร้านทอง เล่าว่า ผู้ก่อเหตุปีนเข้ามาแล้วพูดว่า ‘หยิบทองมา’ จึงสั่งให้น้องพนักงานหมอบลงเพื่อความปลอดภัย เพราะเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธปืน และไม่เคยเห็นหน้าของคนร้ายมาก่อน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน และตำรวจ สภ.บางบ่อ พร้อมผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างตรวจสอบที่เกิดเหตุ เร่งไล่ล่าตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อไป. – […]

เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด

กทม.14 ส.ค.- เปิดคำร้อง 36 สว. ปมคลิปเสียง ยกละเอียดยิบผิดจริยธรรมข้อใด อ้างอิงเหตุการณ์คลิปเสียง และพฤติการณ์ที่นิ่งเฉย ไม่กำหนดมาตรการหรือความชัดเจนตอบโต้กัมพูชาในช่วงปะทะ ไล่เลียงตั้งแต่กัมพูชารุกล้ำพื้นที่อธิปไตยไทย 200 เมตร จนถึงวันปล่อยคลิปเสียง 18 มิ.ย.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในคำร้องของ 36 สว. ต่อกรณีคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่ศาลนัดวินิจฉัยคำร้องในวันที่ 29 สิงหาคมนี้ ซึ่งในคำร้องขอให้ศาลสั่งให้ความเป็นนายกรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบกับมาตรา 160 (4)(5) ในเนื้อหาคำร้องอ้างอิงถึงคลิปสนทนาของนางสาวแพทองธาร กับสมเด็จฮุน เซน ที่มีการเอ่ยพาดพิงแม่ทัพภาคที่ 2 แม้นายกรัฐมนตรีพยายามแถลงข่าวชี้แจงกรณีคลิปเสียง แต่สมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวฟังไม่ขึ้น เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียงเช่นนี้แล้ว นายกรัฐมนตรีย่อมพยายามจะต้องหาข้อแก้ตัวอย่างไรก็ได้ โดยสมาชิกวุฒิสภาเห็นว่า หากนายกรัฐมนตรีมีเจตนาเจรจาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งและการสู้รบระหว่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติจริง นายกรัฐมนตรีสามารถดำเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการเจรจาทางการทูตตามหลักและมาตรฐานการดำเนินการที่ถูกต้องอย่างโปร่งใส ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ ประการสำคัญ […]

“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ชายแดนสันติ

จีน 15 ส.ค.-“มาริษ” ตอบรับคำเชิญ “หวังอี้” ร่วมถก 3 ฝ่าย จีน-ไทย-กัมพูชา แก้ปัญหาชายแดนอย่างสันติ พร้อมขอบคุณที่เห็นความจำเป็นในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด เห็นพ้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตอบรับคำเชิญของ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน ในการเข้าร่วมจิบน้ำชาและหารืออย่างไม่เป็นทางการระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ไทย และกัมพูชา ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ กรอบความร่วมมือแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation) หรือ MLC ครั้งที่ 10 ณ เมืองอันหนิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนายมาริษ ได้แสดงความขอบคุณต่อบทบาทที่สร้างสรรค์ของจีน ในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างสันติ ผ่านกลไกทวิภาคีต่างๆ และการบังคับใช้ให้เกิดการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยได้รับการสนับสนุนของอาเซียน พร้อมยังได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วน ที่ไทย-กัมพูชา ต้องร่วมมือกันในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องร่วมกันถึงความจำเป็นที่จะต้องหลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนในสื่อโซเชียล เนื่องจากเป็นก้าวสำคัญในการลดความตึงเครียด และฟื้นฟูความเป็นปกติสุขในพื้นที่ชายแดน นอกจากนี้ นายมาริษ ยังได้กล่าวขอขอบคุณ นายหวัง อี้ […]