“ทักษิณ” หวังสร้างไทยเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าสีเขียว

ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ 17 ก.ค.-“ทักษิณ” หวังสร้างไทยเป็นศูนย์กลาง ไฟฟ้าสีเขียว ลั่นรัฐกู้อีกไม่ได้ คาดถมทะเล ดึงเงินเอกชน-ตปท. ลงทุนในไทย


นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปฐกถาเกี่ยวกับการขุดคลอง ถมทะเล ว่า เรื่องที่ตนอยากสร้างรายได้ให้กับประชาชนและประเทศในหลายๆ มุม โดยตนพยายามพูดหลายรอบว่าเราอยากสร้างนิเวศน์ทำมาหากินใหม่ๆ ให้กับกลุ่มนั้นบ้าง กลุ่มนี้บ้าง ซึ่งตนเคยพูดว่าวันนี้เราตั้งงบประมาณขุดคลอง ลอกคลอง ขุดร่องน้ำ และแม่น้ำ เมื่อขุดแล้ววางไว้บนตลิ่งพอฝนตกก็ชะลงไปใหม่ หากเราอนุญาตให้แก้กฎหมาย กฎระเบียบ ให้ประชาชนขุดดิน ขุดทรายในคลองเอาไปขายหรือถมดินได้เลย แต่มีกติกาว่าต้องรักษาตลิ่งไม่ให้พังจะทำให้เกิดนิเวศน์ใหม่ รถขนดินเยอะขึ้น มีเรือท้องแบนสำหรับใส่ทรายใส่ดิน และจะทำให้ร่องน้ำกว้างขวางขึ้น ลึกขึ้น น้ำไม่ท่วม ขณะเดียวกันประชาชนได้เงินใช้ เรื่องนี้ทำยากมาก เพราะระบบราชการและกฎหมายไม่เอื้ออำนวย

ส่วนอีกเรื่อง ที่วันนี้กำลังก้าวหน้าไปเยอะ คือเรื่องถมทะเล โดยเราอยากป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ ฉะนั้นทุกประเทศมีการถมทะเล (land reclaim) ของเรายังไม่ค่อยทำ แต่มีทำแถวมาบตาพุด แต่หากเราทำตรงนี้จะได้ที่ดินขึ้นมาอีกหลายแสนไร่ เพราะเราจะมีเรื่องทรัพย์อิงสิทธิ์ 99 ปีอยู่แล้ว ก็จะทำให้คนกล้าลงทุนเอาดินไปถมทะเล แต่เราจะต้องมีผังให้ชัดว่า แต่ละเกาะให้ทำอะไร วันนี้เราต้องหาการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะเงินภาคเอกชนและเงินต่างประเทศ เข้ามาช่วยลงทุนให้ไทย เพราะวันนี้รัฐกู้อีกไม่ไหว เนื่องจากเต็มยันเพดานแล้ว ก็เลยต้องให้จีดีพีโตขึ้น เพื่อให้มันลดลงมา ถึงจะเอาเงินไปใช้จ่ายได้ แต่จีดีพีจะลด ก็ต้องมีรายได้ มีเงินใหม่ๆ เข้ามา โดยเรื่องถมทะเลนี้ตนเชื่อว่าหลายประเทศสนใจ แต่หากสมมติว่าถมทะเลกับการลอกคลองไปด้วยกันได้ แม่น้ำเจ้าพระยาจะหายตื้นเขินแล้วไปถมทะเลอยู่ใกล้ๆ ตรงนั้น ก็จะทำให้ราคาถูกลง


นายทักษิณยัง กล่าวอีกว่า ในเรื่อง Ecosystem ซึ่งวันนี้เน้นย้ำไปหลายรอบว่าเราจะต้องตั้งภาษีสรรพสามิต สำหรับรถที่นำเข้าโดยไม่มี local content ซึ่งบางทีเราตกอยู่ในสัญญาการค้าเสรี (FTA) ที่เอาเข้ามาโดยภาษีศุลกากรเป็นศูนย์ แต่เราสามารถเก็บภาษีสรรพสามิตได้ โดยเราจะเก็บตามอัตรา ตามสัดส่วน local content หรือสัดส่วนของผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในประเทศไทย เอาไปใช้ประกอบ เช่น เบาะรถยนต์ ยางรถยนต์​ ซึ่งเรามีเองเยอะแยะ ถ้าเราไม่รักษาตรงนี้ไว้ อีกหน่อยนิเวศน์ที่เราสร้างมาหลายสิบปีพัง ฉะนั้นวันนี้ต้องจริงจัง และเราจะสร้างอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าของเราให้ได้ เพราะเทคโนโลยีพวกนี้ไม่ยากอะไรเลย แต่จะไปยากตอนที่ทำรถไม่มีคนขับ ซึ่งพวกนั้นต้องใช้ชิพ แต่ตอนนี้หากเราดีไซน์รถตุ๊กๆ ใหม่เป็นดีไซน์ของไทยเลย และทำเป็นไฟฟ้าให้หมดแล้วนำมาแทนตุ๊กๆ ปัจจุบัน ทำให้ปลอดภับและประหยัด เรื่องเหล่านี้สามารถทำได้หมด ตนจึงอยากให้ช่วยกันรักษานิเวศน์ที่ดีอยู่แล้วของอุตสาหกรรมรถยนต์ให้เข้มแข็งต่อไป เพราะต่อไปข้างหน้านอกจากจีนแล้ว ไทยเรายังต้องเป็นศูนย์ผลิตรถยนต์​ได้ รถยต์ไฟฟ้าก็ไม่ได้เป็นเรื่องเทคโนโลยีที่ยาก สามารถดึงนักลงทุนต่างประเทศมาร่วมลงทุนกับไทยได้

อย่างไรก็ตาม วันนี้เรานำเข้าน้ำมันดีเซล 60 ล้านลิตรต่อวัน น้ำมันเบนซิน 25 ล้านลิตรต่อวัน และน้ำมันอื่นๆ อีกประมาณ 10 ล้านลิตรต่อวัน เท่ากับโรงงานผลิตไฟฟ้า 40,000 เมกะวัตน์ สมมติว่าเราผลิตไฟฟ้าเพิ่ม 40,000 เมกะวัตน์และรถใช้ไฟฟ้าหมด เราก็ไม่ต้องนำเข้าน้ำมัน ฉะนั้นสมมติว่าเราอยากทำตัวเป็นศูนย์กลางไฟฟ้าสีเขียว เราจะทำโซล่าฟาร์ม ซึ่งผลิตได้ 40,000 เมกะวัตน์ แทนที่น้ำมันนำเข้า เราจะใช้ที่ดินประมาณ 1.4 ล้านไร่ เพื่อเป็นระบบโซล่าเซลล์ 24 ชั่วโมง ซึ่งเราสามารถหาได้เยอะแยะ เพราะเรามีที่ดิน สปก. 40 ล้านไร่และมีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจากมีการส่งมอบเพิ่มขึ้น โดยเราจะเป็นคนที่ขายไฟฟ้าสีเขียวแล้ว data center ทั้งหลายจะมาที่ประเทศไทย วันนี้ data center ที่จะมาไทยปรากฏว่าติดไฟฟ้าสีเขียวไม่พอ หากวันนี้เราไปตั้งฟาร์มในพื้นที่อีสาน แล้วลากสายตรงมากรุงเทพฯ ไม่ต้องไปผ่านของเก่า ตนคิดว่าราคา 3 บาทต่อยูนิตยังเอาอยู่ ส่วนนี้จะทำให้ประเทศเรามีศักยภาพในการแข่งขันด้านไฟฟ้าสีเขียว data center วันนี้เหมือนอสังหาริมทรัพย์ (real eastate) สมัยที่กำลังบูมๆ โดยเขาไปซื้อที่ดินที่มีไฟฟ้าสีเขียวส่วนหนึ่ง มีน้ำและอยู่ใกล้เมืองใหญ่ โดยวันนี้เริ่มทำเป็นธุรกิจ สมมติว่าหากตนมาทำในประเทศไทย 10 แห่ง ไปทำในลาว 5 แห่ง ในมาเลเซีย 20 แห่ง แล้วนำทั้งหมดเข้าตลาดหลักทรัพย์ เหมือนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ (real eastate) สร้างเสร็จขาย หรือไม่ก็ปล่อยเช่า วันนี้เริ่มเกิดขึ้นในยุโรป ตนมองว่าประเทศไทยควรถือโอกาสวันนี้รีบผลิตไฟฟ้าสีเขียวให้ได้ และเอา data center มาไว้ที่ประเทศไทย เรียกว่าเป็นเอมบาสซีของโลก.-312-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]