“หมอวรงค์” ระบุคดี “ทักษิณ” ป่วยวิกฤติ ใกล้จบแล้ว

ศาลฎีกา 15 ก.ค.-“ชาญชัย” เผยพบพิรุธหลังไต่สวนพยาน 6 ปาก เตรียมเปิดหลักฐานค่ารักษา “ทักษิณ” ชี้ไม่ควรปิดกั้นสื่อในการทำข่าว ด้าน “หมอวรงค์” ระบุคดีนี้ใกล้จบแล้ว

นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายแพทย์วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี และนายสมชาย แสวงการ อดีต สว. มาฟังศาลไต่สวนคดีนายทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก แต่ไม่ได้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำ และถูกส่งไปพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ว่าวันนี้มีการไต่สวนมีทั้งหมด 6 ปาก ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ระดับผู้บัญชาการเรือนจำ ของกรมราชทัณฑ์ มีสิ่งที่ศาลไต่สวนข้อเท็จจริง พบมีพิรุธเยอะมาก รวมทั้งแพทย์ของโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งโยงไปถึงโรงพยาบาลตำรวจด้วย ซึ่งตนได้ยื่นเรื่องกับสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นผู้นำเรื่องมาเสนอที่มีความปรากฏต่อศาลจนกระทั่งมีการไต่สวน รวมถึงทนายความของนายทักษิณ ที่บอกว่าไม่ได้ติดค้างอะไร แต่ก็พยายามที่จะปิดปากไม่ให้สื่อฯ ลงข่าวข้อเท็จจริง ซึ่งตนเห็นว่าเป็นเรื่องของการขัดต่อรัฐธรรมนูญที่ให้สื่อมวลชนเสนอข้อเท็จจริง ในวันนี้ก็ขอให้ศาลเปิดเผยข้อมูล คือให้อยู่ในกรอบภาพรวมที่สามารถอธิบายได้ ซึ่งเรื่องนี้หากเป็นตนจะขอให้เปิดข้อมูลทั้งหมดเลย เพื่อพิสูจน์ความจริงที่บอกว่าตนเองไม่ผิด ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจว่าไม่ผิด ซึ่งหากความจริงปรากฏจะเสียวไส้กับคนที่ไปช่วยนายทักษิณ มีโอกาสที่จะติดคุกแทน และตนฟังดูว่าเหมือนเอาคนอื่นไปติดคุกแทน เพราะเป็นคนพานายทักษิณ ไปนอนโรงพยาบาล โดยไม่ใช่นายทักษิณ เป็นคนสั่งไป


ทั้งนี้ในอาทิตย์หน้าจะนำใบเสร็จการรักษาพยาบาลมาเปิดเผย ว่า ทำไมถึงเป็นชื่อของนายทักษิณ ที่จ่ายเงิน และเป็นนายทักษิณ ที่รู้ว่าไม่ได้ป่วย ซึ่งความจริงจะปรากฏอาทิตย์หน้า ตนจะเปิดเผยให้สังคมรับรู้ว่านายทักษิณ โกหกประชาชนอย่างไร และต้นตอของเรื่องนี้ทั้งหมด รวมถึงทำให้เกิดความวุ่นวาย ต้องเป็นขบวนการที่ทำให้เสียเวลา รวมถึงกระบวนการนี้ถ้าไม่ถูกเปิดเผยถึงสังคมการเรียนรู้ของสังคมไม่ครบถ้วนจะขาดตอน เพราะฉะนั้นศาลก็ระมัดระวังให้ความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย วันนี้อาจจะมองไม่อยากให้สื่อนำไปลงรายละเอียดกระบวนการของศาลเวลาสืบพยาน ทำให้พยานคนต่อไปรู้ว่าคนก่อนพูดอะไรไว้ ซึ่งก็ต้องเห็นใจศาลเหมือนกัน

ด้านนายแพทย์วรงค์ เผยว่า เราได้แบ่งออกมาเป็นสองชุด คือชุดแรกที่เกี่ยวกับกรมราชทัณฑ์โดยเฉพาะ คืออธิบดีกรมราชทัณฑ์ รองอธิบดี รวมถึงผู้บัญชาการเรือนจำ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ชุดสองคือเรื่องแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งไฮไลท์ในวันนี้แทบจะน็อคทั้งหมด เพราะเกมทุกอย่างได้รับการเปิดเผย เป็นบทสรุปที่ถูกเปิดเผยว่านักโทษที่ถูกส่งตัวอ้างว่าวิกฤติ ป่วยด้วยโรคหัวใจ ฟังประเมินแล้วประมาณสองวัน อาการทุเลาถือว่าอาการดีขึ้น และโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีเสรีภาพในการรักษา ซึ่งในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 อาการของนายทักษิณ ทุเลาลง รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษานายทักษิณ โรงพยาบาลมีศักยภาพพอ


ส่วนของราชทัณฑ์ ศาลได้ซักถามข้อมูลถึงใบรับรองแพทย์ราชทัณฑ์ 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน ซึ่งพยายามซักถามว่าคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจให้นักโทษกลับมาอยู่เรือนจำ หรือโรงพยาบาลราชทัณฑ์เป็นใคร เพราะฝ่ายหนึ่งได้อ้างว่าเป็นอำนาจของฝ่ายราชทัณฑ์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเท่าที่ศาลสั่งให้เปิดนั้นก็เป็นอำนาจของแพทย์ กลายเป็นว่าโยนกันไปกันมา แต่มีจุดพิรุธที่สังเกต คือวันที่ 22 สิงหาคม 2566 ก่อนที่นักโทษจะมีการส่งตัวหรืออาการวิกฤตในเวลาสี่ถึงห้าทุ่ม ช่วงเย็นมีการทราบอยู่แล้วว่ามีเอกสารออกมาให้มีคำสั่งเตรียมพร้อม นั่นหมายความว่ารู้ล่วงหน้าว่าจะมีการส่งตัวนักโทษในคืนนั้น ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการซักถามกัน

และประเด็นที่น่าสนใจคือ ศาลพยามซักว่าการไม่รับนักโทษกลับแสดงว่ามีอาการหนักใช่หรือไม่ และศาลได้สอบถามว่าทำไมจึงป่วยหนักต่อเนื่องกัน 181 วัน และวันรุ่งขึ้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 อาการหายแล้วหรือไม่ ทำให้เดินทางกลับบ้านได้ทันที ซึ่งศาลพยายามสอบถามถึงประเด็นนี้และตนมองว่ากรมราชทัณฑ์น่าจะลำบากใจ

ส่วนนายแพทย์วรงค์ กล่าวอีกว่า ในภาพรวมถือว่าภาพของคดีนี้น่าจะใกล้จบแล้ว และเชื่อว่าสัปดาห์ถัดไป ทั้งนายสมชาย หรือนายชาญชัย อาจจะมีเอกสารหลักฐานที่บอกว่ามีการโกหกให้ข้อมูลเท็จต่อศาลและมีหลักฐานเก็บไว้ ซึ่งถึงเวลาในการเปิดเผย และในวันนี้ศาลได้มีการซักถามอธิบดีราชทัณฑ์ในการรักษาตัวนอกเรือนจำรวมทั้งผู้บริหารทุกระดับว่าใช้กฎหมายข้อไหน


ด้านนายสมชาย เผยว่า การรักษาตัวภายนอกสามารถทำได้ เพราะส่วนใหญ่ไปเช้า เย็นกลับ เกิน 30 วันก็มีบ้าง เกิน 60 วันก็มีบ้าง เกิน 120 วันก็มีบ้าง ซึ่งตามรายงานและที่ส่งมาที่ศาลนั้นชัดเจนว่ามีผู้ป่วยเกิน 120 วันอยู่ 3 ราย ในขณะที่ชี้แจงต่อคณะกรรมการ ซึ่งคือป่วยจิตเวช ส่วนป่วยวิกฤตอาการดีขึ้น หรือทุเลาลงแล้ว ก็ต้องส่งกลับเรือนจำ ซึ่งมีการบอกว่าเป็นคำวินิจฉัยของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจ ก็ต้องรอฟังคำวินิจฉัยเอง ว่าเหตุใดราชทัณฑ์ ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมบังคับโทษตามที่ศาลออกหมายขัง จึงไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง และอ้างว่าแพทย์ไม่สั่งให้กลับเพราะอำนาจของกรมราชทัณฑ์นั้นไม่มี.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มทภ.2 ยันไม่เคยสั่งกำลังพลไปเก็บศพเขมร อย่าเชื่อข่าวปลอม

5 ส.ค. – แม่ทัพภาคที่ 2 ยืนยันไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชา บริเวณชายแดน ขออย่าหลงเชื่อข่าวปลอม เมื่อวันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากกรณีที่สื่อโซเชียลมีเดียได้ลงข้อความอันเป็นเท็จ ที่ทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจผิดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สั่งให้กำลังพลไปเก็บศพชาวกัมพูชาที่อยู่บริเวณชายแดนนั้น ตนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีคำสั่งให้กำลังพลไปปฏิบัติอย่างนั้น ผู้เสียชีวิตนั้นเป็นชาวกัมพูชา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางประเทศไทย “ผมไม่เคยมีคำสั่งแบบนี้ และขอยืนยันว่า ข่าวที่ออกมานั้นเป็นข่าวปลอม ขอให้พี่น้องประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ“ แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว.-313-สำนักข่าวไทย

ทหารไทยยอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง

ศรีสะเกษ 5 ส.ค. – วันนี้ยังมีการเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่พลเรือนฝั่งไทย ส่วนเมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เป็นคืนแรกของการประชุม GBC ชุด ชรบ.หมู่บ้านแนวชายแดน อ.กันทรลักษ์ จึงออกตรวจตราเข้มข้น ขณะที่ทหารแนวหน้ายอมรับได้กลิ่นศพทหารกัมพูชาจริง ทีมข่าวมีโอกาสได้พูดคุยกับทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา สอบถามถึงเรื่องที่กำลังเป็นประเด็น คือกลิ่นศพของทหารกัมพูชา ทหารยอมรับว่ามีกลิ่นจริง และมีศพทหารกัมพูชาถูกทิ้งไว้จริง แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ หากมีหน้ากากอนามัยเชื่อว่าจะช่วยบรรเทาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีหน้ากาก N95 ส่งถึงพื้นที่บ้างแล้ว พร้อมขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ส่งกำลังใจ ทหารยังพร้อมปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ วันนี้ทีมข่าวยังเกาะติดภารกิจเก็บกู้ระเบิดที่กัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ จุดแรก จรวด BM-21 ถูกกัมพูชายิงตกใส่ลงทุ่งนาของชาวบ้าน พื้นที่ ต.ทุ่งใหญ่ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม วันเดียวกับที่ยิงใส่ปั๊ม ปตท.บ้านผือ โดยห่างกันราว 1 กิโลเมตร ส่วนอีกจุดเป็นการทำลายลูกจรวด PG-7 ที่ถูกยิงจากเครื่องยิงจรวด RPG ตกลงในสวนยางพาราของชาวบ้าน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ ที่ถูกพบในสภาพพร้อมทำงาน จุดนี้อยู่ห่างจากชายแดนกัมพูชาเพียง […]

เปิดศักยภาพ Gripen เขี้ยวเล็บใหม่กองทัพอากาศไทย

5 ส.ค. – เปิดคุณสมบัติโดดเด่นของ “กริพเพน” เครื่องบินรบฝูงใหม่ ซึ่งกองทัพอากาศและประเทศไทยกำลังจะทำสัญญาจัดซื้อจากสวีเดน .-สำนักข่าวไทย

มทภ.2 ขึ้นภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท นำร้องเพลงชาติไทย

5 ส.ค.- แม่ทัพภาค 2 ตรวจเยี่ยมภูมะเขือ ย้ำกำลังพลไม่ประมาท ปกป้องอธิปไตย พร้อมร่วมร้องเพลงชาติ เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 ส.ค.68 พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่หน่วยเฉพาะกิจที่ 1 กองกำลังสุรนารี พื้นที่ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ทำการเดินลาดตระเวน ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลที่วางกำลังฐานปฏิบัติการ ทั้งนี้ มีพระสงฆ์จำนวน 3 รูปจากวัดใกล้เคียง มารอแม่ทัพภาคที่ 2 เพื่อมอบวัตถุมงคลและให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ พร้อมให้พรกำลังพลทุกนาย ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ จากนั้นแม่ทัพภาคที่ 2 ได้ฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่ภูมะเขือ โดยเน้นย้ำให้อยู่ในความไม่ประมาท ปฏิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของชาติ ด้วยความปลอดภัยและให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้น พล.ท.บุญสิน ได้ให้กำลังพลเปลี่ยนธงชาติไทยผืนใหญ่กว่าเดิม นำร้องเพลงชาติบนยอดภูมะเขือร่วมกัน ก่อนเดินทางกลับได้มอบเครื่องอุปโภคบริโภคและถ่ายรูปร่วมกับกำลังพล -สำนักข่าวไทย