ป.ป.ช. 2 ก.ค.-แกนนำกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน หอบหลักฐานพันหน้าส่ง ป.ป.ช. เพิ่ม เอาผิดรัฐบาลโยกงบฯ หนี้ 5 แบงก์ 3.5 หมื่นล้าน มาแจกในโครงการดิจิทัล ยกเอกสารกฤษฎีกามัดเข้าข่ายผิด ม.144 “อ.เจษฎ์” ชี้หากศาลฎีกาฯ สั่ง สส.-สว. 309 คน หยุดปฏิหน้าที่ ไม่เกิดสุญญากาศ เสนอทุกคนลาออก เพื่อเปลี่ยนผ่านเปิดทาง กกต.จัดเลือกตั้งภายใน 45-60 วัน
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ นายสมชาย แสวงการ อดีต สว. นายเจษฎ์ โทณะวณิก นักกฎหมาย และนายนิติธร ล้ำเหลือ หรือทนายนกเขา เข้ายื่นหลักฐาน และเอกสารมเพิ่มเติมในคำร้องที่ยื่นก่อนหน้านี้ขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการเอาผิด คณะรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน และคณะรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร คณะกรรมาธิการงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 รวมถึง สส. และ สว. ที่มีมติสั่งตัดงบประมาณรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อไปใช้ในโครงการแจกเงินหมื่นดิจิทัล ซึ่งเข้าข่ายกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 144
นายชาญชัย กล่าวว่าเอกสารหลักฐานที่นำส่งเพิ่มเติมให้ ป.ป.ช.ในวันนี้มีทั้งสิ้น 11 รายการ รวมกว่า 1 พันหน้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับเงินที่กู้มาจากไหน ปี พ.ศ.อะไร และนำไปใช้เรื่องอะไร ปี 67 มีงบประมาณดังกล่าวหรือไม่ ที่สำคัญมีเอกสารสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาความเห็นและแนวทางการเสนอและการเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ที่ระบุว่า ในการดำเนินการดังกล่าวต้องปฏิบัติตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง และวรรคสองของรัฐธรรมนูญ 60 และ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง 2561 โดยเคร่งครัด ซึ่งก็จะทำให้ ป.ป.ช.ได้เห็นข้อเท็จจริงและทำงานได้เร็วขึ้น ก่อนที่จะมีมติและส่งไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงรายละเอียดการถกเถียงกันถึงเรื่องความผิดตามมาตรา 144 ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งอยู่ในรายงานการประชุมของสภาด้วย จึงเอามายืนยันให้กับ ป.ป.ช. ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงการทำผิดตาม กฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ระบุว่าเป็นเหตุให้ถูกถอดถอนได้
“เป็นเรื่องของนักการเมืองที่ไม่เคารพกฎหมาย และ ครม. ที่เห็นแต่ได้จะเอาเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ที่ตั้งอยู่ในงบประมาณที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรวาระหนึ่งไปแล้ว อย่างนี้เป็นเรื่องการกระทำความผิดที่เห็นชัดเจน ถึงได้มีการแก้บทบัญญัตินี้ให้มีความละเอียดขึ้น แม้แต่ ครม.ไม่ทำแต่หากรู้แล้วไม่ยับยั้งก็จะถือเป็นความผิดถูกถอดถอนด้วย จนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่มีหนังสือของกฤษฎีกา ครม.ถึงมีมติว่าถ้าจะแปรเปลี่ยนประมาณในปี 69 ให้ทุกหน่วยงานระมัดระวังอย่าให้ทำผิดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 ซึ่งตรงนี้เป็นกฎเกณฑ์ที่ออกโดย ครม.ก็เป็นการยืนยันว่าสิ่งที่เราได้ยื่นทั้งหมด เป็นเรื่องข้อกฎหมายและได้มีพฤติกรรมการกระทำผิดไปแล้ว” นายชาญชัย กล่าว
นายชาญชัย กล่าวว่าประชาชนอาจจะไม่เข้าใจ ว่าทำไมจึงมีความผิด เนื่องจากเงินของทั้ง 5 ธนาคาร เช่น ธกส.เป็นเงินที่รัฐบาลสั่งไปกู้เงินมาเพื่อจำนำข้าว ซึ่งเป็น แล้วเอาแจกเงินดิจิตอล ทำให้ไม่ได้นำเงินไปจ่ายหนี้ให้ ธกส. แต่หรือในส่วนธอส.ทำโครงการบ้านเอื้ออาทร ส่วนธนาคาร SME ก็ทำหน้าที่สนับสนุนการกู้ดอกเบี้ยต่ำ ธนาคารออมสินก็เช่นเดียวกัน ส่วนธนาคารส่งออกและนำเข้า สนับสนุนในส่วนของดอกเบี้ยปล่อยเงินกู้ให้กับพม่า ซึ่งเป็นหนี้ที่รัฐมีนโยบายให้ 5 แบงก์ไปกู้ ดังนั้นจึงต้องจ่ายเงินชดเชย แต่เมื่อถึงเวลากลับไม่เอาเงินไปใช้หนี้ แล้วไปทำผิดกฎหมายซ้ำ โดยเอาไปแจกเป็นเงินให้ประชาชนเพื่อผลประโยชน์ในการหาเสียง และเอาไปแจก สส. สว.ที่พ้นวาระแล้ว ซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ตนก็เป็นอดีต สว.ที่ก็ได้รับผลประโยชน์ด้วย แต่เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ เชื่อว่า ป.ป.ช.จะชี้มูลและส่งศาลโดยเร็ว ขณะนี้เป็นเวลา 60 วันแล้ว จึงมานำเอกสารมายื่นเพิ่มเติมเพื่อช่วย ป.ป.ช.รวมทั้งติดตามความคืบหน้าในเรื่องนี้
ด้านนายเจษฎ์ กล่าวกรณีมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองรับพิจารณาเรื่องดังกล่าวจาก ป.ป.ช.จะมีผลให้สมาชิกรัฐสภา 309 คนต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้เกิดสูญญากาศทางการเมือง ว่าตนมั่นใจจะไม่เป็นสุญญากาศ โดยมี 2 ทางออก คือ 1.สมมุติว่าหากศาลพิจารณาแล้วมีความผิดตามมาตรา 144 สุดท้ายจะเหลือแต่พรรคประชาชน เพียงพรรคเดียว คณะรัฐมนตรีที่ทำผิดมาตรา 144 ไม่สามารถอยู่รักษาการได้ ปลัดกระทรวงต่างๆ ก็ต้องมาหารือกันแล้วเลือกปลัดคนหนึ่ง ขึ้นมาทำหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะสามารถทำหน้าที่ไปได้เรื่อยๆ จนกว่าสภาจะหมดวาระแล้ว จึงมีการเลือกตั้งใหม่
2.พรรคประชาชนลาออก ขอย้ำว่าตนไม่เคยถามหาความรับผิดชอบของพรรคประชาชนหรือพรรคใดก็ตาม เพราะเรารู้ว่าเขาไม่มีความรับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น แต่การเสนอให้พรรคประชาชนลาออกก็จะทำให้ไม่มีสมาชิกสภาเหลืออยู่ หรือถ้ามีใครบางคนเหลืออยู่ก็ลาออก ซึ่งก็จะทำให้มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนผ่าน ไม่ใช่การปฏิวัติรัฐประหารเด็ดขาด แล้วก็ไม่ใช่ขอนายกฯพระราชทานด้วย แต่จะต้องเปลี่ยนผ่านโดยมีการเลือกตั้ง ซึ่ง กกต.ก็อาจต้องถามไปยังศาลรัฐธรรมนูญว่าแบบนี้จะใช้อำนาจทำหน้าที่ได้หรือไม่ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็จะตอบมาว่าทำได้ แต่เมื่อไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบังคับก็ต้องใช้ประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งเปลี่ยนผ่านด้วยการเลือกตั้งก็ให้ กกต.จัดการเลือกตั้ง โดยเมื่อครบวาระให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน แต่กรณีนี้เทียบเคียงได้กับยุบสภาให้จัดการเลือกตั้งภายใน 45 วัน และไม่เกิน 60 วัน ก็จะไม่มีสูญญากาศ
“พวกคนที่บอกว่าที่ทำทั้งหมดนี้ เพื่อที่จะทำให้เกิดสูญญากาศ เพื่อจะเปิดทางให้มีการรัฐประหาร คนพวกนั้นแหละต้องการที่จะให้เกิด เพราะจะได้ประโยชน์จากสิ่งที่พวกคุณพูด” นายเจษฎ์ กล่าว
นายเจษฎ์ ยังกล่าวว่า กรณีนี้ สส. สว.ควรต้องเป็นผู้รักษาเงินแผ่นดิน แต่กลับไม่ทำหน้าที่ ประชาชนจึงต้องมารักษาเงินแผ่นดินกันเอง แล้วถ้าพวกคุณจะดื้อดึง ถูลู่ถูกัง อยู่กันต่อไป ถึงวันนั้นประชาชนก็จะเห็นว่าเศรษฐกิจสังคมเป็นอย่างไร แล้ววันหนึ่งคนก็จะกลับมาถามว่านี่หรือคนที่อาสาเข้ามาเป็นตัวแทน ทำไมไม่ทำหน้าที่ ในขณะที่ประชาชนทั้งหลายทำหน้าที่ ดังนั้นการจะมาอ้างว่าเกิดสุญญากาศ จึงไม่เป็นความจริง ยืนยันว่าการเมืองยังคงดำเนินมีทางออกดำเนินการต่อไปได้.-314.-สำนักข่าวไทย