“ธีรรัตน์” ปิดการฝึกบริหารจัดการภัยสึนามิ

ภูเก็ต 27 มิ.ย. – “ธีรรัตน์” ปิดการฝึกบริหารจัดการภัยสึนามิ (C-MEX 25) ชื่นชมทุกภาคส่วนร่วมฝึกซ้อมด้วยความมุ่งมั่น พร้อมย้ำ 4 มาตรการ “พัฒนาต่อยอด ทดสอบความพร้อม ให้ความสำคัญการฝึก และทำอย่างต่อเนื่อง” เพื่อประชาชนมีความปลอดภัยสูงสุด


น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานตรวจเยี่ยมกำลังพลและภาคีเครือข่าย เเละปิดการฝึกการบริหารวิฤตการณ์ระดับชาติด้านสาธารณภัย ประจำปี พ.ศ. 2568 (Crisis Management Exercise: C-MEX 25) จากภัยสึนามิ ในพื้นที่ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ณ โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 36 จังหวัดภูเก็ต ต.กมลา อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต โดยมีการถ่ายทอดการฝึกซ้อมจากอีก 5 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันมายัง จ.ภูเก็ต โดยมี นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พล.ท.อนุสรณ์ โออุไร แม่ทัพน้อยที่ 4 นายรัชกรณ์ นภาพรพิพัฒน์ รองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทน จ.กระบี่ พังงา ระนอง ตรัง และ จ.สตูล ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลต่างประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีเครือข่าย ร่วมฝึกซ้อมในพื้นที่ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน จำนวนกว่า 1,000 คน

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวว่า วันนี้ได้มีการฝึกซ้อมร่วมกัน 6 จังหวัด 6 จุดที่เป็นพื้นที่เสี่ยงภัยที่เคยเกิดสึนามิเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งรัฐบาล ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยโดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ส่งเสริมให้ทุกคน ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชุมชนและประชาชนตระหนักถึงภัยธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและมีความรุนแรงขึ้น ซึ่งการรวมพลังในวันนี้ที่หลาย ๆ หน่วยงานเข้ามาร่วมกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ ที่จะทำให้เกิดการสร้างการรับรู้กับพี่น้องประชาชน และสร้างความมั่นใจกับประชาชนว่าทางภาครัฐมีความพร้อม เป็นไปอย่างมีเอกภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล


ในบทเรียนหลายครั้งที่ผ่านมา เมื่อเกิดภัยเราได้ถอดบทเรียนและนำมาปรับปรุงแผนเผชิญเหตุเพื่อให้เกิดความสูญเสียน้อยที่สุดที่เราสามารถป้องกันได้ ทั้งเรื่องบุคลากร อุปกรณ์ต่าง ๆ เราพร้อมเต็มที่ และเรายินดีให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันไม่ว่าในพื้นที่ไหน จะเป็นความรับผิดชอบหน่วยงานใด ทุกหน่วยงานสามารถช่วยกันเติมเต็มให้ภารกิจประสบความสำเร็จได้ จึงเป็นการที่ทำให้ทุกหน่วยได้มีส่วนร่วมกันและทุกคนได้มีความกระตือรือร้นอย่างจริงจังมาก จึงฝากให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง และเป็นประจำ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อหากเกิดสถานการณ์จริงจะสามารถปฏิบัติตนให้เกิดความปลอดภัย ไม่เกิดการโกลาหลหรือชุลมุนขึ้น

น.ส.ธีรรัตน์ ได้เน้นย้ำ 4 ข้อสั่งการเพื่อให้การป้องกันสาธารณภัยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่ 1. นำบทเรียนจากการฝึกในครั้งนี้ไปสู่การพัฒนา ต่อยอด ที่สอดคล้องตามกฎหมาย แผนว่าด้วยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในทุกระดับ ทั้งระดับชาติ จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 2. ให้มีการทดสอบความพร้อมของหอเตือนภัย เครื่องมือ อุปกรณ์ ระบบสื่อสาร เครื่องจักรกลสาธารณภัย ยุทโธปกรณ์ และกำลังพล ที่อยู่ในความรับผิดชอบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล 3. ให้จังหวัดให้ความสำคัญกับการฝึกแบบบูรณาการร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ในระดับพื้นที่ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบการจัดการสาธารณภัย เพื่อร่วมสร้างความเข้มแข็ง และสังคมแห่งความปลอดภัยอย่างยั่งยืน และ 4. ให้หน่วยงานภาคีเครือข่าย ภาครัฐบาล ภาคเอกชน มูลนิธิ อาสาสมัครกู้ชีพกู้ภัย จิตอาสาร่วมเตรียมความพร้อมเข้าให้การช่วยเหลือประชาชนอย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งบูรณาการร่วมกันเพื่อพัฒนาศักยภาพการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศ และเกิดเครื่อข่ายด้านการป้องกันและบรรเทาสาธาธารณภัยครอบคลุมทุกพื้นที่

น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณและชื่นชมทุกภาคส่วนที่มุ่งมั่นจนทำให้การฝึกภาคปฏิบัติครั้งนี้สำเร็จลุล่วง และในส่วนความรู้วิชาการก็ได้มีการให้ความรู้ในเรื่องข่าวสารที่เป็นประโยชน์ในแต่ละพื้นที่เพื่อนำความรู้ที่ได้รับไปกระจายต่อให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง โดย มท. ร่วมกับทุกภาคส่วนทำงานอย่างใกล้ชิดและมีบุคลากรที่ทำให้การทำงานของเรามีประสิทธิภาพมากและเมื่อเกิดเหตุการณ์สิ่งเราก็พร้อมที่จะรับมือ ทั้งยังได้มีการเชิญตัวแทนสถานทูตและสถานกงสุลได้มาร่วมชมการสาธิตของเราด้วย ทำให้เขาได้รับทราบว่าเรามีการเตรียมความพร้อมอย่างไรเพื่อที่จะเมื่อมีการสอบถามจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ทางสถานทูตก็พร้อมที่จะให้ข้อมูลได้เลยว่า ไทยเรามีการเตรียมความพร้อมด้วยการฝึกซ้อมอยู่เสมอเป็นประจำต่อเนื่อง สามารถสร้างความมั่นใจให้กับชาวต่างชาติที่เข้ามาเยือนประเทศไทยด้วย


ด้านนายภาสกร กล่าวว่า การฝึกในครั้งนี้ครอบคลุมตั้งแต่การแจ้งเตือนภัย การอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัย การกู้ภัย การแพทย์และสาธารณสุข การจัดการศูนย์พักพิง และการกู้ภัยทางน้ำและอากาศยาน ระหว่างวันที่ 24-27 มิ.ย. 68 โดยมีภาครัฐภาคเอกชนมูลนิธิองค์กรสาธารณกุศลภาคประชาชนและจิตอาสา 180 หน่วยงาน และผู้ร่วมฝึก 1,000 คน มีจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อทดสอบแผนเผชิญเหตุของ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน รวมทั้งยังเป็นการทดสอบความเชื่อมโยงของกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ และศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ทุกระดับ ทั้งในระดับนโยบาย ระดับอำนวยการ และระดับปฏิบัติ เพื่อพัฒนาศักยภาพหน่วยงานด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความพร้อมในการบริหารจัดการสาธารณภัยอย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่และประชาชนมีความรู้ในการปฏิบัติตน โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยสึนามิ ที่เคยเกิดเหตุการณ์เมื่อปี 2547 ทำให้มีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ประเทศไทยกว่า 5,400 คน ผู้ได้รับบาดเจ็บ และสูญหายจำนวนมาก รวมถึงทรัพย์สินของประชาชนเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท

การฝึกการบริหารวิฤตการณ์ระดับชาติด้านสาธารณภัยในครั้งนี้ ได้จำลองสถานการณ์การตรวจพบระดับน้ำมีการเปลี่ยนแปลงที่หุ่นตรวจคลื่นสึนามิในมหาสมุทรอินเดีย และทะเลอันดามัน แล้วได้รับการยืนยันว่าเกิดสึนามิที่มีผลกระทบต่อประเทศไทย โดยคาดว่าจะขึ้นฝั่งที่ จ.ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์จังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการอำเภอ และศูนย์ปฏิบัติการท้องถิ่นทั้ง 6 จังหวัดจึงได้ถูกจัดตั้งขึ้นโดยทันที เพื่อเตรียมพร้อมรับมือเหตุสึนามิที่เกิดขึ้น และเป็นศูนย์กลางระดมสรรพกำลังในการช่วยเหลือประชาชน โดยร่วมมือกับกองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยซึ่งได้รับอนุมัติจากอธิบดีให้กดสัญญาณเตือนไปยัง 6 จังหวัดเพื่ออพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยโดยด่วน

สำหรับพื้นที่ฝึกซ้อมใน 6 จังหวัด ได้แก่ 1. ระนอง บริเวณบ้านบางเบน และบ้านอ่าวเคย ต.ม่วงกลวง อ.กะเปอร์ เปิดสัญญาณหอเตือนภัย 1 จุด 2. พังงา บริเวณบ้านน้ำเค็ม บ้านบางสักเหนือ และบ้านบางสักใต้ ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า เปิดสัญญาณหอเตือนภัย 4 จุด 3. กระบี่ บริเวณหาดนพรัตน์ธารา ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ เปิดสัญญาณหอเตือนภัย 1 จุด 4. ตรัง บริเวณหาดทรายทอง ต.เกาะสุกร อ.ปะเหลียน เปิดสัญญาณหอเตือนภัย 1 จุด 5. สตูล บริเวณ ต.ตันหยงโป อ.เมืองสตูล เปิดสัญญาณหอเตือนภัย 2 จุด และ 6.ภูเก็ต บริเวณหาดกมลา อ.กะทู้ เปิดสัญญาณหอเตือนภัย 1 จุด โดยการฝึกซ้อมจะมีการส่งสัญญาณเตือนภัยจากหอเตือนภัยสึนามิของแต่ละพื้นที่เสมือนจริง แบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ เสียงแบบ M2 “เกิดแผ่นดินไหวในทะเล อาจเกิดคลื่นสึนามิ ขอให้ออกจากชายหาด ไปยังที่สูงโดยด่วน” และเสียงแบบ M3 “ขณะนี้เกิดคลื่นสึนามิ ขอให้ออกจากชายหาด ไปยังพื้นที่สูงโดยด่วน”

จากนั้น เป็นการสาธิตการกู้ภัยทางบก และการจัดการศูนย์พักพิง ด้วยการอพยพประชาชนไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัย และหลังเกิดสถานการณ์ ได้มีการค้นหาผู้ประสบภัยบริเวณซากอาคาร ซากรถยนต์ และพื้นที่โดยรอบ พร้อมทั้งแยกระดับของผู้บาดเจ็บเพื่อลำเลียงไปยังสถานพยาบาล นอกจากนี้ ได้รับชมสาธิตการค้นหาผู้ประสบภัย สถานีกู้ภัยทางน้ำและอากาศยาน โดยได้รับการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์จากฐานทัพเรือภาคที่ 3 และกรม ปภ. และเรือจากกรม ปภ. สำนัก ปภ.กทม. กรมเจ้าท่า และมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต ด้วยการลำเลียงผู้ประสบภัยที่ลอยคออยู่ในทะเลกลับเข้าสู่ฝั่ง.-319​ -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

หนุ่มขี่จยย. พุ่งชนฝาคอนกรีต ตกบ่อร้อยสายไฟดับสลด

11 ส.ค.- หนุ่มวัย 26 ขี่รถจักรยานยนต์ฝ่าแนวกั้นพุ่งชนฝาคอนกรีต ร่างกระเด็นตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ลึก 10 เมตร จมน้ำดับสลด เมื่อเวลา 00.30 น.วันที่ 11 ส.ค.68 ร.ต.ท.เจนวิทย์ เหลือผล รองสารวัตร(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง รับแจ้งอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์พุ่งตกบ่อร้อยสายไฟใต้ดิน ถนนแจ้งวัฒนะ ขาออก บริเวณหน้าศาลปกครอง แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม. จึงรุดตรวจสอบพร้อมอาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ที่เกิดเหตุใกล้สถานีรถไฟฟ้า ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ เป็นถนน 5 เลน บริเวณช่องทางซ้าย 3 เลนปิดเป็นพื้นที่ก่อสร้างโครงการร้อยสายไฟใต้ดิน พบรถจักรยานยนต์สีครีม ทะเบียน กทม. ล้มคว่ำหน้ารถพังยับพุ่งชนเครื่องปั่นไฟฟ้า ใกล้บ่อมีความลึก 10 เมตร เจ้าหน้าที่จึงใช้อุปกรณ์โรยตัวลงไปตรวจสอบพบผู้ขับขี่จมน้ำเสียชีวิต นำร่างขึ้นมาทราบชื่อนายสันติสุข (สงวนนามสกุล) อายุ 26 ปี สวมเสื้อยืดคอกลม แขนสั้น นุ่งกางเกงกีฬาขาสั้นสีน้ำเงิน ตามร่างกายมีบาดแผล กระโหลกศีรษะแตก เจ้าหน้าที่จึงบันทึกรวบรวมที่เกิดเหตุไว้เป็นหลักฐาน สอบถามคนงานที่อยู่บริเวณจุดเกิดเหตุให้การว่า […]

“ขัตติยา” ชี้ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก.

กทม. 10 ส.ค.-“ขัตติยา” สส.เพื่อไทย ชี้โพลฯ ประชาชนเชื่อมั่นกองทัพสูง แต่ภารกิจชายแดนเป็นผลงานร่วมทุกฝ่าย ใต้ร่ม ศบ.ทก. น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล สส.บัญชีรายชื่อและรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ X ถึงผลสำรวจล่าสุดของนิด้าโพล ที่ให้ความไว้วางใจกองทัพสูงกว่ารัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ ว่าอยากชวนมองภาพให้ครบว่า ทุกหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ล้วนทำงานร่วมเป็นทีมเดียวกัน ภายใต้ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หรือ ศบ.ทก. ศูนย์นี้จัดตั้งขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยรวมเอาหลายภาคส่วนเข้ามาทำงานร่วมกัน ทั้งกระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักข่าวกรองแห่งชาติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก ทุกฝ่าย คือทีมไทยแลนด์ ที่แบ่งบทบาทหน้าที่และประสานงาน เพื่อเป้าหมายเดียวกัน คือ การรักษาอธิปไตยของประเทศ และปกป้องความปลอดภัยของชีวิตประชาชน แม้กองทัพจะมีบทบาทสำคัญเป็นด่านหน้าในพื้นที่ชายแดน แต่ก็ไม่ได้ทำงานแยกเดี่ยวหรือเป็นอิสระจากภาคส่วนอื่นๆ หากทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับทุกหน่วยงานภายใต้ร่มของ ศบ.ทก. ในสถานการณ์ที่ท้าทายเช่นนี้ ไม่มีหน่วยงานใดสามารถทำงานบรรลุเป้าหมายได้เพียงลำพัง ความสำเร็จต้องเกิดจากการร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน.-314.-สำนักข่าวไทย

วันแม่แห่งชาติ ขึ้นทางด่วนฟรี 𝟯 สายทาง

กทม. 9 ส.ค.-วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม 2568 กทพ. แจ้งยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษของทางพิเศษรวม 𝟯 สายทาง ดังนี้ ทางพิเศษเฉลิมมหานคร จำนวน 𝟮𝟭 ด่าน ทางพิเศษศรีรัช จำนวน 𝟯𝟮 ด่าน และทางพิเศษอุดรรัถยา จำนวน 𝟭𝟬 ด่าน นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลประกาศให้วันจันทร์ ที่ 11 สิงหาคม 2568 เป็นวันหยุดพิเศษ ทำให้มีวันหยุดต่อเนื่องกันรวม 4 วัน (9-12 สิงหาคม 2568) เพื่อให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์สถานการณ์ “คนไทย” เดินทาง “ท่องเที่ยวภายในประเทศ” วันหยุดยาวช่วงวันแม่แห่งชาติ ระหว่างวันที่ 9-12 สิงหาคม 2568 จะสร้างรายได้สะพัดทั่วประเทศ 13,750 ล้านบาท […]

“มาริษ” แจงโทรเคลียร์ รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ปมถูกบิดเบือนคำพูด

สุรินทร์ 9 ส.ค. – “มาริษ” แจงโทรเคลียร์ “วิเวียน” รมว.ต่างประเทศสิงคโปร์ ถูกบิดเบือนคำพูด ย้ำไม่ได้วิจารณ์เชิงลบ แต่ห่วงภาวะผู้นำทำงานได้ไม่เต็มที่เพราะมีอุปสรรคขัดขวาง นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีบางสื่อบิดเบือนคำพูดของนายวิเวียน บาลากริชนิน (Vivian Balakrishnan) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสิงคโปร์ ซึ่งตนไม่สบายใจตั้งแต่ต้น และได้สะท้อนไปว่าการแสดงความคิดเห็นในเรื่องที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้มักจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด และจะมีคนเอาคำพูดท่านไปใช้ประโยชน์ในการโจมตีทางการเมือง นายมาริษ เปิดเผยว่า ได้คุยโทรศัพท์กับนายวิเวียน เพื่อแสดงความห่วงกังวล เขายอมรับแล้วอนุญาตให้ช่วยชี้แจง อธิบายกับสื่อมวลชนที่เป็นสื่อหลัก เพราะข้อความที่แปลผิดได้แพร่สะพัดอยู่ในโซเชียลมีเดีย “นายวิเวียนไม่ได้มีความประสงค์ที่จะไปตั้งคำถามในเรื่องภาวะผู้นำของใครทั้งสิ้น เขาเพียงแต่พูดว่าอยากเห็นการทูตทำงานอย่างเต็มที่ เพราะการทูตจะแก้ไขปัญหาได้หากอยู่ในจุดที่สมดุล และเมื่อไรที่ภาวะผู้นำถูกขัดขวาง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยอะไรก็ตาม มันจะมีผลกระทบให้การแก้ไขปัญหาซับซ้อนมากยิ่งขึ้น” นายมาริษ กล่าว นายมาริษ กล่าวย้ำว่า สิ่งที่นายวิเวียนพูด จะพยายามสื่อสารเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักว่าอยากเห็นผู้นำได้ทำงานอย่างเต็มที่ ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง ซึ่งจะเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้การแก้ไขปัญหาลุล่วงไปได้อย่างสมบูรณ์.-319-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.ยัน ‘มทภ.2’ ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย

11 ส.ค.- โฆษกกองทัพบกโต้กัมพูชา ยันแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้กล่าวรุกล้ำอธิปไตยปมปราสาทตาควาย ย้ำไทยไม่มีความพยายาม “ยั่วยุ-วางแผน” ใช้กำลังทางทหารตามที่เขมรกล่าวอ้าง พลตรี​ วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ได้ชี้แจงกรณีกระทรวงกลาโหมกัมพูชาแถลงการณ์ถึงคำสัมภาษณ์ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เรื่องของปราสาทตาควาย ว่า “ยืนยันว่าเนื้อหาที่แม่ทัพภาคที่ 2 พูด ไม่ได้มีความหมายในแบบที่โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้แถลงไป โดยเฉพาะท่านไม่พูดเรื่องการเคลื่อนย้ายกำลัง เพื่อรุกล้ำอธิปไตยกัมพูชา สิ่งที่ท่านได้กล่าวในวันนั้นคือ ปราสาทตาควายอยู่ภายใต้อธิปไตยของไทย ในช่วงที่มีการปะทะที่ผ่านมาพยายามเข้าไปยึดด้วยการวางกำลัง แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้ทำการวางกำลังบริเวณด้านนอก ห่างจากตัวปราสาท 30 เมตร แต่ในอนาคตจะต้องพยายามนำกลับมาภายใต้การควบคุมของไทยให้ได้ ตามขั้นตอนที่เหมาะสม พร้อมกล่าวว่าเตรียมนำเรื่องต่างๆ ไปพูดคุยเจรจาในวงเจรจาในกรอบการประชุม RBC ที่จะเกิดขึ้นใน 2 สัปดาห์ และย้ำถึงจุดยืนว่าไทยจะไม่ถอยจากแนวการวางกำลังเดิม ขอยืนยันว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ไม่ได้พูดถึงเรื่องการใช้กำลังทางทหาร ไปดำเนินการอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นที่กล่าวไปในข้างต้น จึงไม่ใช่ความพยายามที่มีการยั่วยุและมีการวางแผนใช้กำลังทางทหารต่อกรณีปราสาทตาควายอย่างที่กัมพูชากล่าวอ้างแต่อย่างใด” -สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเล็ก​” ยันรับฟังข้อเรียกร้องต่ออายุราชการ “มทภ.2” ยึดรอบคอบ

11 ส.ค.- “พล.อ.ณัฐพล​” ยันรับฟังข้อเรียกร้องต่ออายุราชการ “แม่ทัพภาค 2” แต่ต้องพิจารณารอบคอบ เพื่อไม่ให้กระทบขวัญกำลังใจผู้ปฏิบัติงานระดับรอง ที่จะมีโอกาสเติบโตก้าวหน้า พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกระแสข่าวเรียกร้องให้มีการต่ออายุราชการทหาร ของ พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2  โดยยืนยันว่า รับฟังกระแสเรียกร้องดังกล่าว ที่มีมาจากคนไทยที่รักประเทศ และห่วงใยในสถานการณ์ หลังการสู้รบระหว่างไทย-กัมพูชาเพิ่งผ่านไป ซึ่งในฐานะผู้บังคับบัญชา ยืนยันว่ารับฟังข้อเรียกร้องดังกล่าว อย่างไรก็ตามเรี่องนี้ ยืนยันว่าจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ สิ่งสำคัญ ต้องพิจารณาภาพรวมขวัญและกำลังใจของผู้ปฏิบัติงานระดับรอง ที่จะมีโอกาสก้าวหน้าเติบโตต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาสถานการร์การสู้รบ ทั้งแม่ทัพภาค 2 เอง และผู้บังคับบัญชาระดับรอง ต่างก็ทำภารกิจอย่างเต็มกำลัง และมีความสามารถทั้งหมด นักวิชาการไม่เห็นด้วยปมต่ออายุราชการ “แม่ทัพภาค 2” ผศ. ดร.วันวิชิต บุญโปร่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต  ได้โพสท์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงประเด็นดังกล่าวว่า เรื่องการขอเสนอการต่ออายุราชการ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ออกไปนั้น ตนไม่เห็นด้วย ขอให้วางใจวางสติให้ดี ว่าเราต้องไม่ตกหลุมกับดักของคนภายในและภายนอก […]

ทบ.ยันคุมตัว 18 ทหารเขมร ยึดหลักกฎหมายสากล

11 ส.ค.- โฆษกกองทัพบก แถลงโต้กัมพูชาอาจไม่เข้าใจหลักปฏิบัติสากล ยืนยันควบคุมตัวทหารกัมพูชา 18 นาย เป็นไปตามหลักกฎหมายสากล พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีกัมพูชายื่นข้อเรียกร้องต่อทางการไทย เพื่อให้ส่งตัวทหารที่ถูกควบคุมตัวไว้กลับประเทศ ขอเรียนว่าฝ่ายกัมพูชาอาจไม่เข้าใจหลักปฏิบัติในระบบของสากล ยืนยันการปฏิบัติของฝ่ายไทยเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามหลักกฎหมายและหลักมนุษยธรรมสากล ซึ่งเชื่อว่าประเทศพันธมิตรและองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ มีความเข้าใจ และไม่ได้มีความกังวลใดๆ อย่างที่กัมพูชากล่าวอ้าง โดยเฉพาะการที่ฝ่ายไทยได้เปิดโอกาสให้องค์กรสากลที่เกี่ยวข้องสามารถประสานขอเข้าเยื่ยมชมได้ตลอดตั้งแต่วันแรกๆ ที่ฝ่ายไทยได้มีการควบคุมตัว   อย่างเช่นเมื่อ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา ได้มีคณะผู้แทนจาก ICRC ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ด้านการคุ้มครอง ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ เจ้าหน้าที่โครงการของ ICRC และล่าม รวม 4 คน เพิ่งมาเยื่ยมชมไป จึงขอยืนยันว่าการควบคุมทหารกัมพูชาทั้ง 18 คนนั้น เป็นไปตามหลักกฎหมายสากล ที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอนุสัญญาเจนีวา ไม่ใช่การควบคุมตัวอย่างผิดกฎหมายตามที่ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้กล่าวอ้าง ทั้งนี้การถูกควบคุมตัวดังกล่าว จำเป็นต้องคงไว้ จนกว่าสถานะการณ์การหยุดยิงหรือสถานการณ์การสู้รบ จะมีความสมบูรณ์เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนแล้วเป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อผู้ที่ถูกควบคุมตัวทั้งหมด จะไม่หวนกลับมาทำการสู้รบกับฝ่ายไทยอีก ซึ่งเป็นไปตามแนวทางหลักสากล และเชื่อว่าด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ฝ่ายกัมพูชายังมีเรื่องสำคัญอื่น ที่ควรให้ความสำคัญอย่างมากด้วยเช่นกัน […]

ทหารกล้าเล่านาทีระทึก รอดตายจากระเบิดชายแดน

11 ส.ค.- ทหารกล้า เล่าเหตุการณ์ ลูกระเบิดจากฝั่งกัมพูชา ร่วงใส่จุดที่กำลังพลอยู่พอดี จนได้รับบาดเจ็บ ทีมข่าวลงพื้นที่อำเภอลานสัก จ.อุทัยธานี บ้านของ สิบโทปรีชา เสือบัว อายุ 24 ปี หัวหน้าชุดหมู่ปืนเล็กหมวดปืนเล็ก กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 4 ค่ายจิรประวัติ จังหวัดนครสวรรค์ เล่านาทีรอดชีวิตจากเหตุระเบิดที่ภูมะเขือ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ขณะประจำการอยู่ในบังเกอร์ ได้ยินเสียงปืนครกจากฝั่งกัมพูชา จึงรีบถอยตัวออกครึ่งหนึ่งเพื่อให้ลูกน้องหลบเข้าไปด้านในบังเกอร์  แต่จังหวะนั้นกระสุนระเบิดตกใส่ทันทีจนร่างกระเด็นและหมดสติ เหตุระเบิดทำให้สิบโทปรีชา ได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาซ้าย ขณะปฏิบัติหน้าที่พร้อมเพื่อนทหารอีก 3 นาย สิบโทปรีชา ยังบอกอีกว่า “หากต้องบาดเจ็บอวัยวะส่วนไหน ก็ยอม แต่จะไม่ยอมเสียชาติ” พร้อมเผยว่าได้ติดต่อผู้บังคับบัญชาเพื่อขอกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ แม้ได้รับคำสั่งให้พักรักษาตัวก่อน แต่หากมีความจำเป็น เขาพร้อมกลับไปสู้เพื่อประเทศชาติทันที ทั้งนี้ ตัว สิบโทปรีชา และครอบครัวเชื่อว่า เป็นบารมี หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อยูร และหนังเสือ วัดพนมเศษเหนือ จังหวัดนครสวรรค์ รวมถึงหลวงพ่อเคลือบ วัดหนองกระดี่ […]