กรุงเทพฯ 24 มิ.ย.- “อุดม” ชี้สิทธิมนุษยชนทุกวันนี้ซับซ้อนกว่าอดีต แนะ 4 แนวทางพัฒนาศาลรัฐธรรมนูญอำนวยความยุติธรรมให้สังคม จัดตั้งสถาบันกฎหมาย เสมือนสติปัญญาช่วยหาแนวทางแก้ไขในอนาคต
นายอุดม รัฐอมฤต ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บรรยายในการประชุมคณะกรรมการสมาชิกสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย (AACC) ในหัวข้อ การพัฒนาศาลรัฐธรรมนูญเพื่อรับรองการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ว่า การพัฒนาศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพัฒนารองรับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนนั้น เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันศาลที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับทุกประเทศ จากหลักการที่เห็นร่วมกันในนานาประเทศที่ถูกบัญญัติไว้ในปริญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ. 1948 สนธิสัญญาต่าง ๆ ในรูปของสัญลักษณ์ระหว่างประเทศ ปฏิญญาระหว่างประเทศ ข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน นานาประเทศได้นำหลักการไปตราเป็นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีผลบังคับในประเทศของตนและส่งผลโดยตรงให้องค์กรใช้อำนาจรัฐ โดยต้องให้ความคุ้มครองและไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในประเด็นสิทธิมนุษยชนดังกล่าว และเพื่อให้เคารพต่อหลักนิติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญจึงจัดให้มีกระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจทั้งการตรากฏหมายหรือการใช้อำนาจในการทำใด ๆ ในองค์กรของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลอื่นเพื่อตรวจสอบกรณีที่มีการฟ้องว่ามีการใช้อำนาจไปในทางขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี การขยายขอบเขตของสิทธิมนุษยชนในมุมมองใหม่อันเนื่องมาจากการพัฒนาองค์ความรู้วิทยาการด้านต่าง ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในเชิงสังคม ค่านิยม วิถีชีวิตของคนในตามสมัย ทำให้การวินิจฉัยคดีรัฐธรรมนูญจะต้องตอบปัญหาในเชิงเนื้อหาสิทธิและเสรีภาพใหม่ ๆ ซึ่งแตกต่างไปจากอดีตอย่างมีนัยยะสำคัญ
นายอุดม กล่าวว่า ปัญหาสิทธิมนุษยชนในยุคสมัยปัจจุบันแตกต่างจากอดีต โดยอดีตนั้นประเด็นด้านสิทธิมนุษยชนมีความซับซ้อนไม่มาก เป็นปัญหาด้านการใช้อำนาจของรัฐที่มากเกินกว่าเหตุ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นที่รับรู้ในประเทศต่าง ๆ และมักจะมีมุมมองที่ไม่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา หรือสิทธิความเสมอภาคระหว่างหญิงกับชาย สถานะของบุคคลที่จะไม่ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม หรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือสิทธิของบุคคลในความเป็นอยู่ส่วนตัวในหลายประการ แต่ปัจจุบันวิธีคิดค่านิยม วิถีชีวิตของผู้คนในโลกปัจจุบัน ได้ขยายขอบเขตสิทธิมนุษยชนในมิติใหม่ ๆ ด้วยความรู้ในวิทยาการที่เปลี่ยนแปลงจากเนื้อหาและคุณค่า โดยเฉพาะเรื่องของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในหลากหลายมิติ ทำให้พื้นที่ในการอภิปรายด้านสิทธิมนุษยชนเปิดกว้างมากขึ้น ปัญหาที่ศาลรัฐธรรมนูญไทยได้เจอ ไม่ว่าจะเป็นการวางกฏหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญในคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2562 ในการกำหนดกฎหมายกำหนดความผิดบุคคลที่ไม่ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือ หรือกรณีขัดคำสั่งของคณะรัฐประหารที่ไม่ไปรายงานตัวในคำวินิจฉัย เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 2563 เป็นตัวอย่างประกันของการสร้างแนวทางในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
นอกจากนี้ แนวโน้มของโลกต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเรื่องการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลอย่างกว้างขวางเพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการดำเนินชีวิต ตลอดจนผลกระทบที่ตามมาต่อความเป็นส่วนตัวของบุคคล ปัญหาเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับต้น ๆ เช่น เมื่อปี 2560 มีการวินิจฉัยการปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่โลกปัญหาภัยพิบัติ คดีที่ศาลรัฐธรรมนูญไต้หวัน กรณีการออกคำสั่งกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยกรณีแผ่นดินไหวเมื่อปี 2547 ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดต่อ ก็เป็นปัญหาทางศาลรัฐธรรมนูญ หรือในคดีห้ามคนรักร่วมเพศบริจาคโลหิต ในศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2557 ก็ถือเป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้เห็นว่าคดีศาลรัฐธรรมนูญมีความน่าสนใจ เช่นเดียวกันกับปัญหาของการเปลี่ยนแปลงของการมีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น ปัญหาความเปราะบางของบุคคลในสังคมก็กลายเป็นปัญหาที่สำคัญทางรัฐธรรมนูญ บุคคลเปราะบางในบางส่วนได้ร้องเรียนต่อศาล โดยเฉพาะการปฏิเสธสถานะของคนต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายแก่บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ จึงปัญหาในศาลสิทธิมนุษยชนในยุโรปในปี 2563 ช่วงเดียวกับปัญหารัฐธรรมนูญของไทยกรณีที่ให้อำนาจรัฐในการถอนสัญชาติบุคคลที่ไม่ได้มีสัญชาติไทยโดยกำเนิดเพราะว่าบิดาไทยไม่ได้มีสัญชาติไทย ในปี 2567
นายอุดม ยกตัวอย่าง ปัญหาของสตรีที่ทั่วโลกเผชิญ คือ การยุติการตั้งครรภ์ ในศาลรัฐธรรมนูญไทย เมื่อปี 2563 เป็นปีเดียวที่ศาลรัฐธรรมนูญเบลเยียมได้วินิจฉัย เรื่องการทำแท้งของหญิงเช่นเดียวกัน ปัญหาการคุ้มครองสถานะทางเพศของบุคคลและกลุ่มคนข้ามเพศ ในกรณีเพศที่สามหรือกลุ่มคนข้ามเพศในศาลสูงสุดของอินเดีย เมื่อปี 2557 รวมถึงเรื่องของการกำหนดการเปลี่ยนแปลงสถานะทางเพศในสูติบัตร ซึ่งเกิดขึ้นในศาลรัฐธรรมนูญอิตาลี เมื่อปี 2017 ก็เป็นประเด็นที่ทำให้เห็นว่าปัญหาที่ไม่เคยเกิดขึ้นในเรื่องสถานะของบุคคล ก็กลายเป็นประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องเอามาวินิจฉัยและเป็นปัญหาที่สำคัญในสิทธิมนุษยชน ด้วยเหตุดังกล่าว สิทธิมนุษยชนกลายเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ซึ่งรัฐธรรมนูญให้การรับรองและเป็นหน้าที่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ในฐานะที่เป็นผู้คุ้มครองรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญต้องมีกลไกทำหน้าที่ให้ความคุ้มครองเช่นนี้ จึงมีข้อแนะนำเกี่ยวกับศาลรัฐธรรมนูญจะทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรมในสังคมสถานการณ์ปัจจุบัน 4 ประการ คือ
- การที่คัดเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ต้องผ่านกระบวนการสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถในการเข้าดำรงตำแหน่ง ในเบื้องต้น
- กลไกสนับสนุนการปฎิบัติงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในด้านต่าง ๆ ตั้งแต่เริ่มต้นการรับคดี การแสวงหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไปจนถึงการทำคำวินิจฉัย ที่ไม่ใช่เพียงการกลั่นกรองข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่หมายถึงการศึกษาวิจัยเรื่องดังกล่าวว่าควรดำเนินไปในทิศทางใด เพื่อให้ธรรมนูญเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่รัฐธรรมนูญจะต้องสามารถบูรณากระบวนการทั้งหลายให้เหมาะสมกับประโยชน์ของสังคม เพื่ออำนวยความยุติธรรมผ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้ การพัฒนาคุณภาพประสิทธิภาพกลไกที่เป็น Back Office ของศาลรัฐธรรมนูญเป็นส่วนสำคัญที่จะสามารถทำให้บทบาทของศาลธรรมนูญอำนวยความยุติธรรมในเรื่องสิทธิมนุษยชนได้อย่างแท้จริง
- การส่งเสริมคุณภาพของรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ที่ยกระดับความสามารถในการช่วยเหลือสังคม และต้องเป็นองค์กรที่มีความเข้มแข็ง ยึดมั่นในวิสัยทัศน์และพันธกิจเป็นที่มีลักษณะเฉพาะตัว ชี้ความเป็นไปของบ้านเมืองเพื่อให้ศาลรัฐรัฐธรรมนูญดำรงความน่าเชื่อถือในสายตาของสาธารณะชน โดยเฉพาะปัญหาสิทธิมนุษยชนที่มักเกิดแง่มุมที่ต้องอภิปรายถกเถียงในพื้นที่ในสิทธิเสรีภาพในมุมมองใหม่ ๆ โครงสร้างของการตัดสินการมีกลไกที่ผลักดันโดยศาลรัฐธรรมนูญต้องการรักษาความเป็นอิสระและไม่ถูกครอบงำโดยอำนาจใด ๆ ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรศาลกฏหมายมหาชน มีหลักประกันความเป็นอิสระและความเป็นกลางในการทำหน้าที่
- การจัดตั้งสถาบันกฏหมายรัฐธรรมนูญ แม้เราจะมีสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่า แล้ว การจัดตั้งสถาบันกฎหมายรัฐธรรมนูญแต่ละประเทศจะเป็นสิ่งที่สำคัญในการที่จะศึกษาวิจัยด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ ด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งรวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนด้วย สถาบันดังกล่าวจะเป็นเหมือนสติปัญญาที่สำคัญในการศึกษาค้นคว้าเรื่องการพัฒนาการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทางสังคมและทางเนื้อหาของสิทธิและในเชิงกระบวนการเพื่อให้เกิดมาตรการหรือกลไกในการคุ้มครองสิทธิที่มีประสิทธิภาพและสามารถคาดการณ์ทิศทางและบริบทให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม นอกจากนี้ ยังเป็นหน่วยประสานส่งเสริมและเรียนรู้องค์กรต่าง ๆ ให้ผู้ที่มีความสนใจเพื่อส่งเสริมให้การคุ้มครองสิทธิสิทธิและเข้าร่วม และองค์กรหรือภาคีอื่น ๆ จะมีโอกาสร่วมงานเสริมสร้างการทำงานของรัฐธรรมนูญให้มั่นคงอยู่คู่กับระบอบประชาธิปไตยและการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของรัฐธรรมนูญให้ศาลธรรมนูญเป็นผู้พิทักษ์ศาลรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง -สำนักข่าวไทย