ประชุมสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย

กรุงเทพฯ 24 มิ.ย.-“นครินทร์” ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เปิดประชุมสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย “จิรนิติ” เผย 3 ทศวรรษศาลผ่านแรงเสียดทาน ยุบพรรคมามาก ช่วยไทยรอดวิกฤตทางการเมือง ห่วงยุค AI รุกล้ำสิทธิประชาชน

ศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการสมาชิกสมาคม และจัดการบรรยายสาธารณะ หัวข้อ “The Courts and the Protection of Human Rights” โดยมีนายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญและในฐานะประธานสมาคมศาลรัฐธรรมนูญและสถาบันเทียบเท่าแห่งเอเชีย เป็นประธานเปิดงาน พร้อมมอบของที่ระลึกให้กับวิทยากร ซึ่งการจัดการประชุมครั้งนี้มีประเทศสมาชิกเข้าร่วม ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐทูร์เคีย สาธารณรัฐอุซเบกิสถานและการประชุมรูปแบบออนไลน์จากประเทศสมาชิก อื่นๆ ที่ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก 21 ประเทศ


นายจิรนิติ หะวานนท์ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ บรรยายหัวข้อ “3 ทศวรรษของศาลรัฐธรรมนูญไทย และความท้าทายในทศวรรษหน้า” ว่าศาลรัฐธรรมนูญมาถึง 3 ทศวรรษแล้ว ในช่วงเริ่มต้นการก่อตั้งศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ปี 2541-2549 ตามรัฐธรรมนูญปี 2540 หน้าที่สำคัญคือการตรวจสอบว่ากฎหมายระดับพระราชบัญญัติขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งการตรวจสอบมีหลักสำคัญคือหลักนิติธรรม และหลักการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในทศวรรษแรกก็จะมีคำถามว่ามีศาลรัฐธรรมนูญไปทำไม ดังนั้นในช่วงนั้นเราจึงตั้งคำถามนี้ ซึ่งก็จะเป็นการวางรากฐานคดีรัฐธรรมนูญว่าเป็นคดีประเภทไหน คดีอะไร จะเห็นว่าคำวินิจฉัยในยุคนั้นจะทำความเข้าใจว่าบทบาทหรืออำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญคืออะไร โดยจะวินิจฉัยเฉพาะพระราชบัญญัติที่มีปัญหาเรื่องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ เช่นกฎกระทรวง ข้อบังคับสภาเทศบาลตำบล หรือประกาศธนาคารพาณิชย์ พวกนี้จะไม่ใช่ปัญหากฎหมายที่จะมาสู่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่จะเป็นปัญหาที่จะไปสู่ศาลปกครอง หรือแม้คำสั่งนายกรัฐมนตรีเราก็จะไม่รับวินิจฉัย ซึ่งในทศวรรษแรกยังไม่มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ จึงต้องมีข้อกำหนดวิธีพิจารณาของตัวเองไปพลางก่อน

นายจิรนิต กล่าวว่า ต่อมายุคทศวรรษที่ 2 ตั้งแต่ปี 2550 – 2557 ยุคเผชิญวิกฤตการเมือง จะเห็นว่าตอนนั้นก็มีปัญหาทางการเมืองมากมาย ซึ่งเป็นยุคที่เราจะต้องมีส่วนในการพาประเทศฝ่าวิกฤตทางการเมือง เช่น คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เรื่องการสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช เนื่องจากมีรายได้ทางสื่อ หรือคำวินิจฉัยในคดีเสียบบัตรแทนกัน เพื่อโหวตผ่านกฎหมาย ซึ่งการกระทำแบบนี้ทำให้การได้มาซึ่งอำนาจอธิปไตยไม่ใช่วิธีทางรัฐธรรมนูญ หรือ ความเป็นนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเพราะโยกย้ายข้าราชการเพื่อให้ญาติของตนมาดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งยุคนั้นก็มีปัญหาทางการเมืองมาก ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ฟันฝ่าอุปสรรค โดยเฉพาะสมัยนั้นศาลรัฐธรรมนูญมีที่ตั้งอยู่ที่พาหุรัด ก็โดนระเบิด M79 ยิง


ต่อมายุคที่ 3 ยุคขยายบทบาทศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี2560 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งตามรัฐธรรมนูญปี 2560 มีบทบาทสำคัญที่เข้ามาในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือการพิจารณาคดีร้องทุกข์ทางรัฐธรรมนูญ โดยจะพิจารณาเรื่องการกระทำของหน่วยงานของรัฐ ทั้งนี้ก็ยังมีปัญหาทางการเมืองมากอยู่เหมือนกัน ยุบพรรคการเมืองไปเยอะพอสมควร ความจริงก่อนหน้านี้ก็มีการยุบพรรคการเมืองแต่ส่วนมากก็เป็นเรื่องของการไม่ทำบัญชีรายชื่อสมาชิก ไม่ทำรายงานการดำเนินการหรือไม่ทำรายงานเกี่ยวกับบัญชีทรัพย์สินส่ง กกต. ซึ่งในยุคปัจจุบันเรื่องคดีเกี่ยวกับทางการเมืองมีความเข้มข้นขึ้นเช่น คดียุบพรรคการเมืองจากการเสนอชื่อพระราชวงศ์ชั้นสูงมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งรัฐธรรมนูญพระมหากษัตริย์จะอยู่เหนือการเมือง หรือการที่พรรคการเมืองไปกู้ยืมเงินหัวหน้าพรรค หรือ สมาชิกภาพของสส.สิ้นสุดลงเมื่อถือหุ้นสื่อ นอกจากนี้มีคดีที่สำคัญแต่คนไม่ค่อยพูดถึงคือประกาศคสช.ที่ให้ผู้ฝ่าฝืนคำสั่งเรียกบุคคลมารายงานตัว เมื่อสิ้นสุดสถานการณ์ความมั่นคงแล้วย่อมขัดหรือแย้งและรัฐธรรมนูญ

โดยสมัยก่อนไม่ว่าศาลไหนในไทยก็จะไม่แตะต้องคำสั่งของคณะรัฐประหาร แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าคำสั่งของคณะรัฐประหารใช้เฉพาะในเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จะต้องรักษาความมั่นคง แต่เมื่อบ้านเมืองเข้าสู่ภาวะปกติคำสั่งนี้ก็ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นคำสั่งแรกที่ศาลในประเทศไทยวินิจฉัยเกี่ยวกับคำสั่งของรัฐประหาร

นายจิรนิติ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังมีคดีอื่นไม่ว่าจะเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงทำประชามติเสียก่อน ซึ่งคำถามนี้ก็ยังอยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ และอยู่ระหว่างการวินิจฉัย และคดีสำคัญกรณีการใช้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่มีเหตุจูงใจล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญระบุว่าการรณรงค์ดังกล่าวนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง ซึ่งเป็นคำที่คนพูดกันบ่อยๆนั่นคือ “เซาะกร่อนบ่อนทำลาย” นำไปสู่การล้มล้าง ก็ต้องให้เลิกกระทำการอย่างนั้นเสีย ซึ่งพอวินิจฉัยคดีนี้ไป ตนขับรถผ่านสามเหลี่ยมดินแดงทีไรก็คิดทุกทีว่าวินิจฉัยถูกแล้ว เพราะแต่ก่อนถนนเส้นนั้นในช่วงค่ำผ่านไม่ได้ เนื่องจากมีม็อบแล้วมีการขว้างระเบิดกัน หลังจากคำวินิจฉัยนั้นออกมาก็สงบเรียบร้อยดี จะเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญช่วยแก้วิกฤติการเมืองให้กับประเทศไปเยอะทีเดียว


นายจิรนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ศาลรัฐธรรมนูญกำลังจะก้าวสู่ในทศวรรษที่ 4 ความท้าทายคือจะทำยังไงให้ได้รับความเชื่อมั่นต่อประชาชนและรักษาความเป็นกลางได้เพราะว่าในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีบทบาทโดยเฉพาะทางการเมือง ซึ่งทางการเมืองพยายามเข้ามาแทรกเข้ามาสู่ศาลรัฐธรรมนูญ พยายามจะเปลี่ยนองค์ประกอบอะไรบ้าง ซึ่งเราคงจะต้องฟันฝ่าอุปสรรคตรงนี้ และที่สำคัญเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งปัญหาที่จะเข้าสู่ศาลรัฐธรรมนูญมันไม่ใช่เรื่อง AI เกี่ยวกับทางวิชาการ แต่ปัญหาคือถ้าเป็น AI ของหน่วยงานของรัฐ แล้วไปคิดเองเออเองเที่ยวละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ถ้าเกิดขึ้นเราจะตั้งรับมันอย่างไร ก็จะมีข้ออ้างว่า AI คิดเอง หน่วยงานของรัฐไม่ได้ทำ เหมือนกับคำวินิจฉัยในต่างประเทศที่ AI คิด วาดรูปโครงสร้าง หรือทำสูตรนั้นสูตรนี้ขึ้นมาแล้วศาลบางประเทศระบุว่า AI ไม่ใช่มนุษย์ เพราะฉะนั้นไม่มีลิขสิทธิ แต่ถ้าเป็นหน่วยงานรัฐแล้วไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน แล้วเราจะปฏิเสธได้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องที่ AI คิดเอง ทำเอง ไปแทรกแซงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลใช้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนจะทำอย่างไร ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องคิดกันต่อไป.-314.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]