“วิโรจน์” จี้นายกฯ ลาออก ชี้หมดความชอบธรรม

รัฐสภา 18 มิ.ย.-“วิโรจน์” จี้นายกฯ ลาออก หลังคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน” เป็นของจริง ชี้หมดความชอบธรรมเจรจาปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ใช้ดีลส่วนตัวคุยทางลับ แทนเจรจาทางการ ซัดติติงกันเองได้ แต่ไม่ควรดิสเครดิตกับฝั่งตรงข้าม ชั่ว ดี ถี่ ห่าง ก็เป็นทีมเดียวกัน มั่นใจเรื่องคลิปเสียงเป็นการยั่วยุ แต่นายกฯ โดนล่อซื้อ ลั่นนี่ไม่ใช่ธุรกิจของท่าน

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน กล่าวถึง การที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับคลิปเสียงหลุด ของนายกรัฐมนตรีและฮุน เซน เป็นคลิปจริง ว่า เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก เพราะนายกรัฐมนตรีนอกจากจะเป็นประมุขฝ่ายบริหาร แล้วยังดำรงตำแหน่งเป็น ผอ.รมน. คือผู้อำนวยการกองรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้วยและยังเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วยซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยและดูแลในเรื่องของความมั่นคงของชาติ ตอนแรกจนเผื่อใจเอาไว้ว่าเป็นคลิปเสียงของนายกแพทองธารจริงหรือไม่ แต่หลังจากที่ติดตามข่าวทางฝั่งฮุน เซน และฮุน มาเนต ก็ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง และสุดท้ายนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง แต่เป็นเทคนิคในการเจรจาให้โอนอ่อนผ่อนตาม


ทั้งนี้ ต้องเข้าใจในเรื่องของการเจรจาว่าจะต้องมีเทคนิคในการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หรือชักแม่น้ำทั้งห้า แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็น ผอ.รมน. เป็นประมุขฝ่ายบริหารเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ต้องตระหนักเอาไว้ คือสมควรหรือไม่ ที่การเจรจา ไม่มีประโยคไหนเลย ที่ยืนยันในความชอบธรรม และจุดยืนของประเทศไทย ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า จุดที่น่าลำบากใจและยากที่จะเข้าใจได้ที่สุดคือการดิสเครดิตทีมงานด้วยกัน ที่ผ่านมาตนให้สัมภาษณ์สงวนความเห็น ในลักษณะที่โจมตีต่อว่านายกมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีกลิ่นอายของการติติงบ้างแต่ก็จะอยู่ในลักษณะการให้ข้อเสนอแนะกับทางนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการเส้นเงิน ที่เชื่อมโยง ระหว่างกลุ่มทุนกับตระกูลฮุน กับเครือข่ายนายทุนไทย ที่อาจจะเกี่ยวพันกับการกระทำผิดกฎหมาย และอาชญากรรมที่ส่งผลเสียต่อประเทศและมีคนไทยตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมากซึ่งน่าจะเป็นมาตรการกดดันที่มีประสิทธิผล เพื่อจูงใจให้ทางรัฐบาลกัมพูชาหวนกลับเข้ามา ในโต๊ะเจรจาอย่างสมเหตุสมผล เพราะตนตระหนักดีว่าในห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่จะต้องมีเอกภาพในการทำงานร่วมกันการติติงทำได้แต่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะโจมตีกันทางการเมือง


นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า ตนในฐานะฝ่ายค้านและในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหารที่พยายามที่จะสนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด ตนรู้สึกตกใจและผิดหวังอย่างมาก และคงต้องทำตั้งคำถาม ว่าประชาชนจะไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ต่อไปได้อย่างไร กับประโยคที่เรียกฮุน เซน ว่า อังเคิล ตนว่าไม่ใช่ท่าทีของนายกรัฐมนตรี
แล้วยังมีประโยคหนึ่งที่ตนตกใจมาก คือ “ถ้า ฮุน เซน ต้องการอะไรจะจัดการให้” นี่หรือคือการเจรจา ตนฟังจนจบแต่ไม่มีการพูดถึงจุดยืน เป็นการพูดด้วยความสุภาพ แต่จุดยืนของประเทศไทยคำพูดที่พูดถึงเรายึดมั่นใน MOU 43 ก็ไม่มี อาจจะไม่ต้องพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแต่การยืนยันจุดยืน ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นอธิปไตยของประเทศไทย และยืนยันที่จะคลี่คลายปัญหาโดยสันติวิธีเราก็สามารถพูดได้ แต่ตนไม่ได้ยินประโยคใดในลักษณะนามทำนองนี้เลย

ทั้งนี้ เป็นการสะท้อนวิธีคิดของนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย ตนย้ำเสมอว่าการคลี่คลายข้อพิพาทครั้งนี้จะต้องใช้การสื่อสารทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็น การผ่านเวทีสากล สหประชาชาติ อาเซียน หรือทูตานุทูต การสื่อสารกับประชาชนของฝั่งตนเอง และรวมถึงการสื่อสารกับประชาชนฝั่งกัมพูชา หรือใช้กลไกกระทรวงการต่างประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีไม่รับฟังยังคงมีนิสัยเหมือนเดิม คือใช้การดีล การคุยกันทางลับ และตนยืนยันเสมอว่า ฮุน เซน กับ ฮุน มาเนต คือกลไกสำคัญที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทในครั้งนี้ และตนก็เคยย้ำกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่าถ้าเป็นมิตรกัน เขาจะไม่ทำกันแบบนี้วันนี้ต้องเอาความเป็นมิตร ความรู้จักกันสัมพันธ์ที่มีวางไว้ข้างหลังไกลๆ แล้วมองฝั่งตัวเองว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สมช. เป็น ผอ.รมน. ก็ทำหน้าที่ไป แต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่รับฟัง

“เรื่องที่เกิดขึ้นตนคิดว่าหมดเวลาของนายกฯ แล้ว ตนไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่ตนไม่รู้ว่าจะพูดแบกท่านนายกฯ ต่อไปอย่างไรแล้ว ที่จะทำให้ประชาชนคนไทยกลับมาให้ความเชื่อมั่นกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ให้คลี่คลายปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกัมพูชาต่อไป จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก นี่คือคำถาม ที่ฟังแถลงการณ์ของนายกแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะคลี่คลาย ข้อวิพากษ์ วิจารณ์ และข้อสงสัยของประชาชนได้ผมว่าทางออกเดียวของนายกรัฐมนตรีตอนนี้คือลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น” นายวิโรจน์กล่าว


ส่วนที่มีการพูดพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า ชั่ว ดี ถี่ ห่าง ชอบ ไม่ชอบ คิดตรง คิดต่าง เราอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว ตนอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน ตนก็ไม่เคยติติงนายกรัฐมนตรี และรองนายกภูมิธรรม เวชยาชัย เลย ก็ให้ข้อเสนอแนะ อาจจะตรงไปตรงมาบ้าง ช่วยจัดการด้วยซ้ำไป ไม่เคยบอกว่าท่านไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ขนาดมีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยที่ส่งท่านทูตนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ไปเป็นหัวหน้าทีมเจรจา ตนยังให้ความเห็นว่าแล้วจะมีใครดีไปกว่านายประศาสน์ ที่มีความรู้ความเข้าใจการเมืองในกัมพูชาไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีข้อติติง แต่จะหาผู้ที่เหมาะสมกว่าท่านทูตประศาสน์ไม่ได้ และ ณ วินาทีนี้ตนยังจำได้ว่าตนให้กำลังใจ ในขณะที่ฝั่งกัมพูชาโห่ร้องให้กำลังใจตัวแทนของเขาแต่พวกเราไม่สมควรเลยที่จะมาดิสเครดิตและบั่นทอนกำลังใจของหัวหน้าทีมของเรา

“ชั่ว ดี ถี่ ห่างอย่างไร ณ วันนี้ ผมได้วางการเมืองลงแล้วและผมเชื่อว่าการเจรจาบนโต๊ะอย่างเป็นทางการจะคลี่คลายได้จากมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่กระเป๋าสตางค์ฮุน เซนและฮุน มาเนต จะสามารถจูงใจให้เขากลับมาสู่โต๊ะเจรจาได้ แต่นายกฯ ไม่เชื่อ และกลับทำในเรื่องที่ไม่สมควร อย่างมากคือการดิสเครดิต พูดลับหลังในทางไม่ดี กับทีมงานคนสำคัญ ไม่ใช่ตำหนิทหารไม่ได้ แต่ตำหนิในวงของเรา ไม่ใช่ว่าตำหนิแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้หรือจะเห็นด้วย กับแม่ทัพภาค 2 ทุกเรื่องไม่จำเป็น แต่เราต้องกลับมาคุยในวงประชุมของเรา”นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า หลักการง่ายๆ ไม่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีแค่บริหารบริษัทหนึ่ง ถ้าในฐานะผู้จัดการไม่พอใจผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองก็ควรเอาลูกน้องตัวเองไปด่าให้กับคู่ค้าฟังหรือไม่ ก็ต้องมาตำหนิติติงกันภายในบริษัทในห้างร้านของเรา ขนาดการจัดการบริษัทเขายังไม่ทำกันเลย ตนจึงบอกว่าสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำตอนนี้มันยากเกินที่จะอธิบายและยากเกินกว่าที่คนไทยจะยอมรับ และให้ความไว้เนื้อเชื่อใจได้แล้ว

เมื่อถามว่า อาจจะเป็นการยุยงของทางฝั่งกัมพูชาให้คนไทยแตกแยกกันเอง ใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า แน่นอน คลิปอันนี้ยืนยันว่าคนปล่อยไม่ใช่ฝั่งไทยแน่ๆ แล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าจะปล่อยมาจากทางฮุน เซน หรือฮุน มาเนต แต่คำถามคือถ้าเราเลือกวิธีทางที่ถูกต้องจะมีคลิปแบบนี้เกิดขึ้นหรือ ดังนั้นตนคิดว่า มีความเป็นไปได้ว่า การปล่อยคลิปต่างๆก็อาจจะมาจากทางฝั่งกัมพูชา แต่ถ้าฝั่งเรายึดมั่นการเจรจา อย่างเป็นทางการเป็นหลักทำงานในฐานะทีม อย่างมีเอกภาพก็จะไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น

“เป็นนายกรัฐมนตรีไปถูกล่อซื้อแบบนี้ได้หรอ ถ้ายึดมั่นการดำเนินการอย่างเป็นทางการไม่ว่าจะกระทรวงการต่างประเทศหรือทางกลไกความมั่นคงผ่านสภาความมั่นคงก็ไม่มีปัญหา หรือผ่านการมอบหมายให้ท่านทูต ก็จะไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้นหรือใช้กลไกของ ปปง.ในการสืบเส้นเงิน และใช้มาตรการ ที่ตนให้คำแนะนำไปใช้กลไกของตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจเศรษฐกิจตำรวจไซเบอร์ จะไม่มีอะไรที่หลุดออกมาแบบนี้เลย ใช่ครับอาจจะเป็นแผนการที่ทางฝั่งตรงข้ามจงใจทำลายภาพลักษณ์นายกรัฐมนตรีแต่ เป็นนายกรัฐมนตรีเองใช่หรือไม่ที่เดินไปในหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้และไม่เคยเชื่อกลไกอย่างเป็นทางการ และยังเชื่อในการ ดีลประชุมลับ นี่คือประเทศไทยไม่ใช่ธุรกิจของท่าน ไม่ใช่ทรัพย์สินภายในตระกูลของท่านที่ท่านจะใช้ตั๋ว PN แลกไปแลกมา จึงบอกว่านายกรัฐมนตรีหมดความชอบธรรมแล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว

เมื่อถามว่า ตอนนี้บิดาของนายกรัฐมนตรีควรมีบทบาทอย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่าไม่ต้องมีบทบาท ตั้งแต่ที่พูดเรื่องพื้นที่เตะตะกร้อก็ไม่สมควรอย่างมาก ตอนนั้นต้นยังแอบให้ความเห็นในเชิงบวกว่าหายเข้ากลีบเมฆไปดีแล้ว เพราะความเห็นไม่เป็นคุณต่อการเจรจา การให้สัมภาษณ์ว่าให้เอาพื้นที่ไปเตะตะกร้อ ก็ต้องเข้าใจถึงการตัดสินใจของทางฝั่งกัมพูชา ถ้าเกิดเขาโอนอ่อนผ่อนตามเขาก็มีศักดิ์ศรีของเขา เรากำลังหยิบยืมเงื่อนไขที่เขาก็ยาก ที่จะรับได้และไม่เป็นผลดี และบิดาของนายกรัฐมนตรีมีอำนาจอะไร คิดว่าวินาทีนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศได้คือการแถลงลาออก

ส่วนประเมินสถานการณ์ที่เปราะบางและนายกรัฐมนตรียังไม่ลาออก จะมีการ ทำรัฐประหารหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า รัฐประหารไม่มีอยู่แล้ว และจะยิ่งเข้าทาง “ฮุนเซน” และ “ฮุนมาเนต” ที่จะทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลไทย คนย้ำได้หลายเวทีว่าความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความชอบธรรม หากไม่มีความชอบธรรมอีกฝ่ายหนึ่งจะเล่นบทเหยื่อและตีฆ้องร้องเปล่าไปในเวทีโลก เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในเวทีนานาชาติ ความชอบธรรมจึงสำคัญที่สุดหากมีการทำรัฐประหารในช่วงนี้ ก็ไม่ต้องเจรจากันแล้วแค่เดินสายอธิบายในนานาประเทศ ถึงการดำรงอยู่ของรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร สถานภาพของรัฐบาลก็อยู่ยากมาก ๆ

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะเป็นเหตุชนวนให้ประชาชนลงถนนไล่รัฐบาลหรือไม่ นายวิโรจน์ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ตนกังวล สิ่งที่ดีที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศได้ตอนนี้คือการลาออก

“และอยากบอกไปถึงนายกรัฐมนตรีจริงๆว่าหากไตร่ตรองหรือนั่งเงียบๆเงียบๆคนเดียว ถ้าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่ง ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วเจอนายกที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาแบบนี้ แล้วท่านยังจะไว้วางใจคนแบบนี้ ไปเจรจาเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาได้หรือ เราจะไว้วางใจได้อย่างไร ว่าคนคนนี้จะเจรจาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศและประชาชนของเรา เรื่องนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คิดว่านายกรัฐมนตรีควรไตร่ตรองดูการลาออกของท่านจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่ประชาชนจะให้อภัยและประเทศชาติจะเดินหน้าต่อได้ คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้ ” นายวิโรจน์กล่าว

เมื่อถามว่ามีอะไรฝากถึงกองทัพโดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ให้ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกรอบรัฐธรรมนูญ และย้ำเสมอว่าคลิปเสียงที่เกิดขึ้น หากมองลึกๆ เขาต้องการบ่อนทำลายเอกภาพของประเทศ ตนรู้ชั่วดี พอใจไม่พอใจ ณ วันนี้ ต้องนับหนึ่งถึงล้าน เอาหน้าที่เป็นหลัก สิ่งที่ฮุนเซนแล้วฮุนมาเนตอยากได้เราต้องไม่ให้ น้ำขุ่นอยู่ในน้ำใสอยู่นอก ส่วนเข้าใจความเจ็บปวดกับความไม่พอใจแต่เราให้สิ่งที่เขาต้องการไม่ได้จริง ๆ.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ศาลออกหมายจับ “ลูกก๊กอาน” พร้อมพวกรวม 6 คน ลุยค้น 7 จุด

15 ก.ค.- ศาลออกหมายจับ “ลูกสาว-ลูกชาย” ก๊กอาน พร้อมพวกรวม 6 คน ข้อหามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ก่อนลุยค้นพื้นที่เป้าหมาย 7 จุด ตำรวจไซเบอร์รวบรวมพยานหลักฐานคดีก๊กอาน แก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ พร้อมยื่นศาลออกหมายจับเครือข่ายก๊กอานเพิ่มอีก 6 คน ประกอบด้วย นางจุฬี หรือเชอร์รี่ นางสาวภูเฌหลิน นายกิตติศักดิ์ ซึ่งเป็นลูกสาวและลูกชายก๊กอาน และพวกรวม 6 คน ในฐานความผิดการมีส่วนร่วมในองค์อาชญากรรมข้ามชาติ และพบว่าบุคคลตามหมายจับมีบัตรประจำตัวประชาชนคนไทย รวมถึงมีการขอศาลออกหมายค้น 7 จุดในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายหลังศาลออกหมาย นอกจากนี้ ทางกรมปกครองอยู่ระหว่างตรวจสอบความผิดปกติบัตรประชาชนคนไทยของเชอรี่ หลังตำรวจตรวจสอบพบมีข้อมูลน่าสงสัยไม่ตรงกับข้อมูลทะเบียนราษฎร์ – สำนักข่าวไทย

“สุชาติ” ย้ำวัดห้ามถือครองเงินเกิน 1 แสน เร่งแก้ กม.เอาผิดเสพเมถุน

ทำเนียบรัฐบาล 15 ก.ค.- “สุชาติ” ขอคุยรัฐบาลเร่งแก้ กม.เอาผิดเสพเมถุนในวัด โทษคุก 7 ปี ปรับ 2.4 แสน – รอชงสภาฯ ถก 3 วาระรวด ย้ำวัดห้ามถือครองเงินเกิน 1 แสนบาท ส่วนเกินต้องเข้าบัญชีให้ตรวจสอบ นายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาสงฆ์ โดยการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 206 เพื่อให้สามารถเอาผิดพระสงฆ์กรณีเสพเมถุนได้ว่า ควรแก้ไขกฎหมายดีกว่า เพราะเป็นเรื่องของสถานที่ไม่ใช่ตัวบุคคล โดยรัฐบาลจะเร่งเจรจากับสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้พิจารณาเร่งด่วน 3 วาระรวดในคราวเดียว โดยระบุความผิดฐานการเสพเมถุน ทั้งพระ สามเณร หรือสามัญชน ทั้งที่ผิดวินัย และสมัครใจ ก็จะผิดกฎหมาย จะมีโทษทั้งจำคุก 1-7 ปี และปรับสูงสุด 240,000 บาท ซึ่งเบื้องต้น มีร่างแก้ไขกฎหมายเสนอมาแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่พอใจ จึงให้กลับไปแก้ไขก่อน ส่วนกรอบเวลาการแก้ไขกฎหมายให้แล้วเสร็จนั้น นายสุชาติ ระบุว่า […]

วธ.สั่งสอบกัมพูชานำ 22 วรรณกรรมไทย สอดไส้ขึ้นทะเบียนกับยูเนสโก

15 ก.ค. – ปลัดวัฒนธรรม สั่งตรวจสอบแล้ว หลังมีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์อ้างว่ามีรายชื่อวรรณกรรมไทยหลายรายการถูกนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับองค์การยูเนสโกโดยประเทศอื่นๆ นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์และสื่อมวลชนบางแห่ง โดยอ้างว่ามีรายชื่อวรรณกรรมไทยหลายรายการถูกนำไปขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับองค์การยูเนสโก โดยประเทศอื่นๆ นั้น กระทรวงได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวแล้ว และได้มอบหมายให้อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ประสานความร่วมมือกับกรมศิลปากร กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว เนื่องจากกระบวนการพิจารณาตรวจสอบเรื่องดังกล่าว กรมส่งเสริมวัฒนธรรม จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาตรวจสอบ กลั่นกรองข้อมูลอย่างถี่ถ้วนและรอบคอบ กระทรวงวัฒนธรรม ขอยืนยันว่าหากได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและครบถ้วนแล้วจะรายงานความคืบหน้าให้ทราบในโอกาสต่อไป เขมรเคลมฉก 22 วรรณกรรมไทยสอดไส้ขึ้นทะเบียนยูเนสโกแล้วก่อนหน้านี้ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “JanJao K. Sisprakaew” โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า “นี่คือวรรณกรรมไทย ที่เขมรนำไปสอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อ Unesco และได้รับการขึ้นทะเบียนไปเรียบร้อย รายชื่อวรรณกรรมเหล่านี้ถูกแต่งขึ้นโดยชาวไทย แต่ถูกเขมรนำไปขึ้นทะเบียนต่อ Unesco ในหัวข้อ “มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ Cultural heritage of Cambodia” วรรณกรรมไทยเหล่านี้ถูกเขมรเคลมเป็นของตนเองเพื่อใช้ในการแสดง Royal Ballet of Cambodiaโดยเขมรอ้างว่ารายชื่อวรรณกรรมเหล่านี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522-2545 จากละครเรื่อง […]

อุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางแห่ง-กทม.ฟ้าคะนอง 60%

กรุงเทพฯ 15 ก.ค. – กรมอุตุฯ เตือนฝนตกหนักบางแห่งบริเวณ จ.เชียงราย พะเยา น่าน หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม และตราด ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 60% และฝนตกหนักบางแห่ง กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ประเทศไทยยังคงมีฝนฟ้าคะนองและมีฝนตกหนักบางแห่ง ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน หนองคาย บึงกาฬ อุดรธานี สกลนคร นครพนม และตราด ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้ เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบนมีกำลังค่อนข้างแรง โดยมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า 3 เมตร ส่วนทะเลอันดามันตอนล่าง มีคลื่นสูงประมาณ […]