“วิโรจน์” จี้นายกฯ ลาออก ชี้หมดความชอบธรรม

รัฐสภา 18 มิ.ย.-“วิโรจน์” จี้นายกฯ ลาออก หลังคลิปเสียงหลุดคุย “ฮุน เซน” เป็นของจริง ชี้หมดความชอบธรรมเจรจาปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ใช้ดีลส่วนตัวคุยทางลับ แทนเจรจาทางการ ซัดติติงกันเองได้ แต่ไม่ควรดิสเครดิตกับฝั่งตรงข้าม ชั่ว ดี ถี่ ห่าง ก็เป็นทีมเดียวกัน มั่นใจเรื่องคลิปเสียงเป็นการยั่วยุ แต่นายกฯ โดนล่อซื้อ ลั่นนี่ไม่ใช่ธุรกิจของท่าน

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.พรรคประชาชน กล่าวถึง การที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ออกมายอมรับคลิปเสียงหลุด ของนายกรัฐมนตรีและฮุน เซน เป็นคลิปจริง ว่า เป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างมาก เพราะนายกรัฐมนตรีนอกจากจะเป็นประมุขฝ่ายบริหาร แล้วยังดำรงตำแหน่งเป็น ผอ.รมน. คือผู้อำนวยการกองรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรด้วยและยังเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ด้วยซึ่งถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญในเรื่องของการปกป้องอธิปไตยและดูแลในเรื่องของความมั่นคงของชาติ ตอนแรกจนเผื่อใจเอาไว้ว่าเป็นคลิปเสียงของนายกแพทองธารจริงหรือไม่ แต่หลังจากที่ติดตามข่าวทางฝั่งฮุน เซน และฮุน มาเนต ก็ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง และสุดท้ายนายกรัฐมนตรีก็ยอมรับว่าเป็นคลิปเสียงจริง แต่เป็นเทคนิคในการเจรจาให้โอนอ่อนผ่อนตาม


ทั้งนี้ ต้องเข้าใจในเรื่องของการเจรจาว่าจะต้องมีเทคนิคในการเอาน้ำเย็นเข้าลูบ หรือชักแม่น้ำทั้งห้า แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีในฐานะที่เป็น ผอ.รมน. เป็นประมุขฝ่ายบริหารเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ต้องตระหนักเอาไว้ คือสมควรหรือไม่ ที่การเจรจา ไม่มีประโยคไหนเลย ที่ยืนยันในความชอบธรรม และจุดยืนของประเทศไทย ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า จุดที่น่าลำบากใจและยากที่จะเข้าใจได้ที่สุดคือการดิสเครดิตทีมงานด้วยกัน ที่ผ่านมาตนให้สัมภาษณ์สงวนความเห็น ในลักษณะที่โจมตีต่อว่านายกมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีกลิ่นอายของการติติงบ้างแต่ก็จะอยู่ในลักษณะการให้ข้อเสนอแนะกับทางนายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดการเส้นเงิน ที่เชื่อมโยง ระหว่างกลุ่มทุนกับตระกูลฮุน กับเครือข่ายนายทุนไทย ที่อาจจะเกี่ยวพันกับการกระทำผิดกฎหมาย และอาชญากรรมที่ส่งผลเสียต่อประเทศและมีคนไทยตกเป็นผู้เสียหายจำนวนมากซึ่งน่าจะเป็นมาตรการกดดันที่มีประสิทธิผล เพื่อจูงใจให้ทางรัฐบาลกัมพูชาหวนกลับเข้ามา ในโต๊ะเจรจาอย่างสมเหตุสมผล เพราะตนตระหนักดีว่าในห้วงเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่จะต้องมีเอกภาพในการทำงานร่วมกันการติติงทำได้แต่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะโจมตีกันทางการเมือง


นายวิโรจน์ ยังกล่าวว่า ตนในฐานะฝ่ายค้านและในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหารที่พยายามที่จะสนับสนุนรัฐบาลมาโดยตลอด ตนรู้สึกตกใจและผิดหวังอย่างมาก และคงต้องทำตั้งคำถาม ว่าประชาชนจะไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ต่อไปได้อย่างไร กับประโยคที่เรียกฮุน เซน ว่า อังเคิล ตนว่าไม่ใช่ท่าทีของนายกรัฐมนตรี
แล้วยังมีประโยคหนึ่งที่ตนตกใจมาก คือ “ถ้า ฮุน เซน ต้องการอะไรจะจัดการให้” นี่หรือคือการเจรจา ตนฟังจนจบแต่ไม่มีการพูดถึงจุดยืน เป็นการพูดด้วยความสุภาพ แต่จุดยืนของประเทศไทยคำพูดที่พูดถึงเรายึดมั่นใน MOU 43 ก็ไม่มี อาจจะไม่ต้องพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวแต่การยืนยันจุดยืน ว่าพื้นที่ตรงนั้นเป็นอธิปไตยของประเทศไทย และยืนยันที่จะคลี่คลายปัญหาโดยสันติวิธีเราก็สามารถพูดได้ แต่ตนไม่ได้ยินประโยคใดในลักษณะนามทำนองนี้เลย

ทั้งนี้ เป็นการสะท้อนวิธีคิดของนายกรัฐมนตรีที่ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลย ตนย้ำเสมอว่าการคลี่คลายข้อพิพาทครั้งนี้จะต้องใช้การสื่อสารทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็น การผ่านเวทีสากล สหประชาชาติ อาเซียน หรือทูตานุทูต การสื่อสารกับประชาชนของฝั่งตนเอง และรวมถึงการสื่อสารกับประชาชนฝั่งกัมพูชา หรือใช้กลไกกระทรวงการต่างประเทศ แต่นายกรัฐมนตรีไม่รับฟังยังคงมีนิสัยเหมือนเดิม คือใช้การดีล การคุยกันทางลับ และตนยืนยันเสมอว่า ฮุน เซน กับ ฮุน มาเนต คือกลไกสำคัญที่ก่อให้เกิดข้อพิพาทในครั้งนี้ และตนก็เคยย้ำกับนายกรัฐมนตรีแล้วว่าถ้าเป็นมิตรกัน เขาจะไม่ทำกันแบบนี้วันนี้ต้องเอาความเป็นมิตร ความรู้จักกันสัมพันธ์ที่มีวางไว้ข้างหลังไกลๆ แล้วมองฝั่งตัวเองว่าตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน สมช. เป็น ผอ.รมน. ก็ทำหน้าที่ไป แต่นายกรัฐมนตรีก็ไม่รับฟัง

“เรื่องที่เกิดขึ้นตนคิดว่าหมดเวลาของนายกฯ แล้ว ตนไม่อยากจะพูดคำนี้เลย แต่ตนไม่รู้ว่าจะพูดแบกท่านนายกฯ ต่อไปอย่างไรแล้ว ที่จะทำให้ประชาชนคนไทยกลับมาให้ความเชื่อมั่นกับนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร ชินวัตร ให้คลี่คลายปัญหาข้อพิพาทระหว่างไทยกัมพูชาต่อไป จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีที่ชื่อแพทองธาร จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก นี่คือคำถาม ที่ฟังแถลงการณ์ของนายกแล้ว แต่ก็ไม่สามารถที่จะคลี่คลาย ข้อวิพากษ์ วิจารณ์ และข้อสงสัยของประชาชนได้ผมว่าทางออกเดียวของนายกรัฐมนตรีตอนนี้คือลาออกจากตำแหน่งเท่านั้น” นายวิโรจน์กล่าว


ส่วนที่มีการพูดพาดพิงถึงแม่ทัพภาคที่ 2 นั้น นายวิโรจน์ กล่าวว่า ชั่ว ดี ถี่ ห่าง ชอบ ไม่ชอบ คิดตรง คิดต่าง เราอยู่ในทีมเดียวกันแล้ว ตนอยู่ในฐานะฝ่ายค้าน ตนก็ไม่เคยติติงนายกรัฐมนตรี และรองนายกภูมิธรรม เวชยาชัย เลย ก็ให้ข้อเสนอแนะ อาจจะตรงไปตรงมาบ้าง ช่วยจัดการด้วยซ้ำไป ไม่เคยบอกว่าท่านไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ขนาดมีประชาชนจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยที่ส่งท่านทูตนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ไปเป็นหัวหน้าทีมเจรจา ตนยังให้ความเห็นว่าแล้วจะมีใครดีไปกว่านายประศาสน์ ที่มีความรู้ความเข้าใจการเมืองในกัมพูชาไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะมีข้อติติง แต่จะหาผู้ที่เหมาะสมกว่าท่านทูตประศาสน์ไม่ได้ และ ณ วินาทีนี้ตนยังจำได้ว่าตนให้กำลังใจ ในขณะที่ฝั่งกัมพูชาโห่ร้องให้กำลังใจตัวแทนของเขาแต่พวกเราไม่สมควรเลยที่จะมาดิสเครดิตและบั่นทอนกำลังใจของหัวหน้าทีมของเรา

“ชั่ว ดี ถี่ ห่างอย่างไร ณ วันนี้ ผมได้วางการเมืองลงแล้วและผมเชื่อว่าการเจรจาบนโต๊ะอย่างเป็นทางการจะคลี่คลายได้จากมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่กระเป๋าสตางค์ฮุน เซนและฮุน มาเนต จะสามารถจูงใจให้เขากลับมาสู่โต๊ะเจรจาได้ แต่นายกฯ ไม่เชื่อ และกลับทำในเรื่องที่ไม่สมควร อย่างมากคือการดิสเครดิต พูดลับหลังในทางไม่ดี กับทีมงานคนสำคัญ ไม่ใช่ตำหนิทหารไม่ได้ แต่ตำหนิในวงของเรา ไม่ใช่ว่าตำหนิแม่ทัพภาค 2 ไม่ได้หรือจะเห็นด้วย กับแม่ทัพภาค 2 ทุกเรื่องไม่จำเป็น แต่เราต้องกลับมาคุยในวงประชุมของเรา”นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า หลักการง่ายๆ ไม่ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีแค่บริหารบริษัทหนึ่ง ถ้าในฐานะผู้จัดการไม่พอใจผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองก็ควรเอาลูกน้องตัวเองไปด่าให้กับคู่ค้าฟังหรือไม่ ก็ต้องมาตำหนิติติงกันภายในบริษัทในห้างร้านของเรา ขนาดการจัดการบริษัทเขายังไม่ทำกันเลย ตนจึงบอกว่าสิ่งที่นายกรัฐมนตรีทำตอนนี้มันยากเกินที่จะอธิบายและยากเกินกว่าที่คนไทยจะยอมรับ และให้ความไว้เนื้อเชื่อใจได้แล้ว

เมื่อถามว่า อาจจะเป็นการยุยงของทางฝั่งกัมพูชาให้คนไทยแตกแยกกันเอง ใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า แน่นอน คลิปอันนี้ยืนยันว่าคนปล่อยไม่ใช่ฝั่งไทยแน่ๆ แล้วมีความเป็นไปได้สูงว่าจะปล่อยมาจากทางฮุน เซน หรือฮุน มาเนต แต่คำถามคือถ้าเราเลือกวิธีทางที่ถูกต้องจะมีคลิปแบบนี้เกิดขึ้นหรือ ดังนั้นตนคิดว่า มีความเป็นไปได้ว่า การปล่อยคลิปต่างๆก็อาจจะมาจากทางฝั่งกัมพูชา แต่ถ้าฝั่งเรายึดมั่นการเจรจา อย่างเป็นทางการเป็นหลักทำงานในฐานะทีม อย่างมีเอกภาพก็จะไม่มีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น

“เป็นนายกรัฐมนตรีไปถูกล่อซื้อแบบนี้ได้หรอ ถ้ายึดมั่นการดำเนินการอย่างเป็นทางการไม่ว่าจะกระทรวงการต่างประเทศหรือทางกลไกความมั่นคงผ่านสภาความมั่นคงก็ไม่มีปัญหา หรือผ่านการมอบหมายให้ท่านทูต ก็จะไม่มีเหตุการณ์อะไรแบบนี้เกิดขึ้นหรือใช้กลไกของ ปปง.ในการสืบเส้นเงิน และใช้มาตรการ ที่ตนให้คำแนะนำไปใช้กลไกของตำรวจสอบสวนกลาง ตำรวจเศรษฐกิจตำรวจไซเบอร์ จะไม่มีอะไรที่หลุดออกมาแบบนี้เลย ใช่ครับอาจจะเป็นแผนการที่ทางฝั่งตรงข้ามจงใจทำลายภาพลักษณ์นายกรัฐมนตรีแต่ เป็นนายกรัฐมนตรีเองใช่หรือไม่ที่เดินไปในหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้และไม่เคยเชื่อกลไกอย่างเป็นทางการ และยังเชื่อในการ ดีลประชุมลับ นี่คือประเทศไทยไม่ใช่ธุรกิจของท่าน ไม่ใช่ทรัพย์สินภายในตระกูลของท่านที่ท่านจะใช้ตั๋ว PN แลกไปแลกมา จึงบอกว่านายกรัฐมนตรีหมดความชอบธรรมแล้ว” นายวิโรจน์ กล่าว

เมื่อถามว่า ตอนนี้บิดาของนายกรัฐมนตรีควรมีบทบาทอย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่าไม่ต้องมีบทบาท ตั้งแต่ที่พูดเรื่องพื้นที่เตะตะกร้อก็ไม่สมควรอย่างมาก ตอนนั้นต้นยังแอบให้ความเห็นในเชิงบวกว่าหายเข้ากลีบเมฆไปดีแล้ว เพราะความเห็นไม่เป็นคุณต่อการเจรจา การให้สัมภาษณ์ว่าให้เอาพื้นที่ไปเตะตะกร้อ ก็ต้องเข้าใจถึงการตัดสินใจของทางฝั่งกัมพูชา ถ้าเกิดเขาโอนอ่อนผ่อนตามเขาก็มีศักดิ์ศรีของเขา เรากำลังหยิบยืมเงื่อนไขที่เขาก็ยาก ที่จะรับได้และไม่เป็นผลดี และบิดาของนายกรัฐมนตรีมีอำนาจอะไร คิดว่าวินาทีนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศได้คือการแถลงลาออก

ส่วนประเมินสถานการณ์ที่เปราะบางและนายกรัฐมนตรียังไม่ลาออก จะมีการ ทำรัฐประหารหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า รัฐประหารไม่มีอยู่แล้ว และจะยิ่งเข้าทาง “ฮุนเซน” และ “ฮุนมาเนต” ที่จะทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลไทย คนย้ำได้หลายเวทีว่าความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความชอบธรรม หากไม่มีความชอบธรรมอีกฝ่ายหนึ่งจะเล่นบทเหยื่อและตีฆ้องร้องเปล่าไปในเวทีโลก เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในเวทีนานาชาติ ความชอบธรรมจึงสำคัญที่สุดหากมีการทำรัฐประหารในช่วงนี้ ก็ไม่ต้องเจรจากันแล้วแค่เดินสายอธิบายในนานาประเทศ ถึงการดำรงอยู่ของรัฐบาลที่มาจากการทำรัฐประหาร สถานภาพของรัฐบาลก็อยู่ยากมาก ๆ

เมื่อถามว่า เรื่องนี้จะเป็นเหตุชนวนให้ประชาชนลงถนนไล่รัฐบาลหรือไม่ นายวิโรจน์ ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ตนกังวล สิ่งที่ดีที่สุดที่นายกรัฐมนตรีจะทำให้ประเทศได้ตอนนี้คือการลาออก

“และอยากบอกไปถึงนายกรัฐมนตรีจริงๆว่าหากไตร่ตรองหรือนั่งเงียบๆเงียบๆคนเดียว ถ้าท่านเป็นประชาชนคนหนึ่ง ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วเจอนายกที่มีคลิปเสียงหลุดออกมาแบบนี้ แล้วท่านยังจะไว้วางใจคนแบบนี้ ไปเจรจาเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาได้หรือ เราจะไว้วางใจได้อย่างไร ว่าคนคนนี้จะเจรจาเพื่อผลประโยชน์สูงสุดและผลประโยชน์อันชอบธรรมของประเทศและประชาชนของเรา เรื่องนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด คิดว่านายกรัฐมนตรีควรไตร่ตรองดูการลาออกของท่านจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบที่ประชาชนจะให้อภัยและประเทศชาติจะเดินหน้าต่อได้ คิดว่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดตอนนี้ ” นายวิโรจน์กล่าว

เมื่อถามว่ามีอะไรฝากถึงกองทัพโดยเฉพาะแม่ทัพภาคที่ 2 หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ให้ปฏิบัติตามหน้าที่ตามกรอบรัฐธรรมนูญ และย้ำเสมอว่าคลิปเสียงที่เกิดขึ้น หากมองลึกๆ เขาต้องการบ่อนทำลายเอกภาพของประเทศ ตนรู้ชั่วดี พอใจไม่พอใจ ณ วันนี้ ต้องนับหนึ่งถึงล้าน เอาหน้าที่เป็นหลัก สิ่งที่ฮุนเซนแล้วฮุนมาเนตอยากได้เราต้องไม่ให้ น้ำขุ่นอยู่ในน้ำใสอยู่นอก ส่วนเข้าใจความเจ็บปวดกับความไม่พอใจแต่เราให้สิ่งที่เขาต้องการไม่ได้จริง ๆ.-315.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” รายชื่อตรงตามโผ

กทม. 19 ก.ย.-โปรดเกล้าฯ ครม. “อนุทิน” นั่งนายกฯ ควบมหาดไทย พร้อมตั้ง รองนายกฯ 6 คน รมต.สำนักนายกฯ 4 คน ขณะรายชื่อตรงตามโผ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (19 ก.ย. 68) เวลา 09.30 น. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ สำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งคณะรัฐมนตรี โดยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายนพุทธศักราช 2568 แล้วนั้น บัดนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้เลือกผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินสืบต่อไปแล้ว อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 158 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงทรงพระกรุณาโปรดเก้าแต่งตั้งรัฐมนตรีดังต่อไปนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ […]

“เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง

กรุงเทพฯ 19 ก.ย. – “เจ๊ปอง” น้ำตาคลอ เปิดใจหลังศาลฎีกาตีกลับยกฟ้อง เชื่อ 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต หลังจากนี้จะใช้ชีวิตของตัวเองอุทิศให้ประชาชนและประเทศชาติ ชี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์บ้านเมืองว่าจะออกมาเคลื่อนไหวอีกหรือไม่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก สื่อมวลชนอาวุโส กล่าวขอบคุณกระบวนการยุติธรรม และศาลด้วยที่ความเมตตากับตนเอง ที่ผ่านมาเราต่อสู้ด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม สำหรับการตัดสินในวันนี้ทำให้รู้สึกโล่งใจ ดีใจทำให้เรารู้ว่าหลังจากนี้เราจะใช้ชีวิตของเราอย่างไรต่อ เพราะถือว่าเป็นคดีสุดท้าย 15 ปีที่ผ่านมา เป็นบทเรียนของชีวิต ต่อจากนี้เป็นต้นไปขอทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ดีเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน เป็นประโยชน์กับประเทศชาติ มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดชีวิตนี้จะอุทิศให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ พร้อมบอกว่าเป็นคดีสุดท้ายใน 20 ปี ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราใช้วิชาชีพของตัวเองใช้ความเชี่ยวชาญของตัวเองรับใช้พี่น้องประชาชน ถือว่าเป็น 20 ปี ที่คุ้มมาก พี่น้องประชาชนให้กำลังใจเราเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ร่วมมือกับเราในการแสวงหาข้อมูล เรารู้สึกว่ามีคนรักเรามาก และความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น เรานำเสนอความจริง เมื่อถามว่าที่ผ่านรู้สึกอย่างไรได้มีเตรียมใจไว้หรือไม่ น.ส.อัญชะลี ระบุว่า ทุกอย่างเตรียมความพร้อม ทุกอย่างไม่ต้องแอบทำใจ หากเราสู้จนถึงที่สุดแล้วอะไรจะเกิดขึ้นก็ต้องเกิด ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เคยช่วยเหลือทั้งในเรื่องเอกสาร หรืออื่นๆ ส่วนเหตุผลที่ศาลพิจารณายกฟ้องในคดีนี้ คือ ศาลเห็นว่าพยานให้การไม่ตรงกันในหลายประเด็นทั้งพยานวัตถุ […]

ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบพันธมิตรบุกยึด NBT ปี51

ศาลอาญา 19 ก.ย. – วันนี้ที่ศาลอาญา รัชดา ได้นัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา หรือคดีแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือ พธม. นำผู้ชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2551 หรือเมื่อ 17 ปีก่อน ในช่วงระหว่างการชุมนุมขับไล่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ในขณะนั้น ซึ่งศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาในเวลา 10:00 น. โดยคดีดังกล่าวมีจำเลย 4 คน ได้แก่ น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายภูวดล ทรงประเสริฐ, นายยุทธิยง ลิ้มเลิศวาที และนายชิติพัทธ์ ลิ้มทองกุล ซึ่งเป็นน้องชายของนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. ทั้งหมดถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป อั้งยี่ซ่องโจร บุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากปรากฏหลักฐานว่า จำเลยทั้งห้าเป็นระดับหัวหน้าและผู้สั่งการให้กระทำความผิด ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ได้มีจำเลยอีก 1 คน คือ นายสมเกียรติ […]

‘มาครง’ เตรียมเสนอหลักฐานยืนยัน ‘บริฌิตต์’ เป็นหญิงไม่ใช่ชาย

ปารีส 19 ก.ย. – ประธานาธิบดีเอมมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส และบริฌิตต์ ภริยา เตรียมเสนอหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ต่อศาลสหรัฐเพื่อพิสูจน์ว่าบริฌิตต์เป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่ผู้ชาย ทนายความของประธานาธิบดีมาครงและบริฌิตต์ บอกว่า ทั้งคู่จะยื่นเอกสารเหล่านี้ในคดีหมิ่นประมาทที่ทั้งสองได้ยื่นฟ้อง แคนแดซ โอเวนส์ อินฟลูเอนเซอร์ฝ่ายขวาชาวอเมริกัน ที่เผยแพร่ความเชื่อของตนผ่านทางสื่อและรายการพ็อคแคสต์ของตนเองว่าบริฌิตต์ เกิดมาเป็นผู้ชาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เธอเสียใจและไม่สบายใจอย่างมากกับข้อกล่าวหาดังกล่าว และเรื่องนี้รบกวนจิตใจของประธานาธิบดีฝรั่งเศส แม้จะไม่ได้ทำให้มาครงสมาธิหลุดจากภารกิจหน้าที่ของเขาในฐานะผู้นำประเทศ แต่มันก็เป็นเรื่องรบกวนจิตใจของคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ซึ่งตัวประธานาธิบดีก็ไม่มีข้อยกเว้น ในส่วนของการยื่นหลักฐานต่อศาลนั้น ทนายความของมาครงและภริยาบอกว่า ทั้งคู่พร้อมที่จะแสดงหลักฐานอย่างชัดเจนทั้งในภาพรวมและในรายละเอียด รวมถึงคำให้การจากผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเป็นลักษณะทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหานั้นเป็นเท็จ แม้จะเป็นกระบวนการที่บริฌิตต์จะต้องเผชิญต่อหน้าสาธารณชนอย่างเปิดเผย แต่เธอก็ยินดีที่จะทำ เธอตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อทำให้เรื่องนี้กระจ่าง สำหรับประเด็นเรื่องบริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ถูกเผยแพร่ครั้งแรกตามสื่อออนไลน์ของฝ่ายขวาและกลุ่มต่อต้านวัคซีนในฝรั่งเศสตั้งแต่ปี 2021 ต่อมา แคนแดซ โอเวนส์ อดีตนักวิจารณ์ของเดลี่ไวร์ (Daily Wire) สำนักข่าวสายอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดียหลายล้านคน ได้เผยแพร่มุมมองของตนเองหลายครั้งว่า บริฌิตต์ เป็นผู้ชาย ที่มีชื่อว่า ฌอง-มิเชล ทรอกโนซ์ (Jean-Michel Trogneux) ก่อนที่จะแปลงเพศในเวลาต่อมา ถึงขั้นอ้างว่าเธอพร้อมเดิมพันชื่อเสียงในอาชีพทั้งหมดของเธอกับข้อกล่าวหานี้ ส่งผลให้มาครงและภริยายื่นฟ้องต่อศาลสหรัฐฯ […]

ข่าวแนะนำ

อยุธยาอ่วม! มัสยิด-บ้านริมน้ำเจ้าพระยา ถูกน้ำท่วมสูง

อยุธยา 22 ก.ย. – จ.พระนครศรีอยุธยา อ่วม! น้ำท่วมขยายวงกว้างครอบคลุม 8 อำเภอ ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะมัสยิด ระดับน้ำเพิ่มสูงต่อเนื่อง ขณะที่เขื่อนป่าสักชลฯ เตรียมปรับเพิ่มการระบายน้ำอีกตั้งแต่ 24 ก.ย.นี้ เตือนน้ำล้นตลิ่งพื้นที่ลุ่มต่ำท้ายเขื่อน สถานการณ์น้ำท่วมใน จ.พระนครศรีอยุธยา ขยายวงกว้างครอบคลุม 8 อำเภอ 103 ตำบล 626 หมู่บ้าน รวมกว่า 31,227 ครัวเรือน ได้รับผลกระทบ โดยพื้นที่ ต.ภูเขาทอง อ.พระนครศรีอยุธยา ชุมชนริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเฉพาะมัสยิดดารุซซุนนะห์ ซึ่งอยู่นอกคันกั้นน้ำ ถูกน้ำเอ่อท่วมและระดับน้ำยังเพิ่มสูงต่อเนื่อง ชาวบ้านสัญจรลำบาก บางจุดต้องใช้เรือ ต้องเดินลุยน้ำเข้า-ออกบ้านและมัสยิด ขณะที่องค์การบริหารส่วนตำบลภูเขาทอง เร่งนำไม้มาทำสะพานชั่วคราว ให้ประชาชนเดินเข้ามัสยิดเพื่อประกอบพิธีละหมาดได้ พร้อมเร่งตัดต้นไม้และกำจัดวัชพืช ให้เรือสัญจรได้สะดวก และเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำใกล้ชิด เนื่องจากระดับน้ำเจ้าพระยายังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่อง นายธีรยุทร อายุ 43 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ เล่าว่า บ้านถูกน้ำท่วมเกือบถึงเอว ลำบากมาก […]

ร่างแถลงนโยบายรัฐบาลเสร็จแล้ว นายกฯ ลุกแจงเอง-ไร้องครักษ์

พรรคภูมิใจไทย 22 ก.ย.- ร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาล “อนุทิน” เสร็จแล้ว มี 8 หน้า นายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงเอง-ไม่มีองครักษ์ หลังเพื่อไทยจัด 4 ขุนพลเตรียมชำแหละ แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเตรียมร่างคำแถลงนโยบายของรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่า ขณะนี้ร่างคำแถลงนโยบายรัฐบาลเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีจำนวนทั้งหมด 8 หน้า โดยนโยบายทั้งหมดจะเน้น 4 ด้าน ประกอบด้วย เศรษฐกิจปากท้อง ความมั่นคงและชายแดน ปัญหาสังคม ภัยธรรมชาติและการเยียวยา โดยนโยบายด้านเศรษฐกิจ จะเน้นเรื่องการลดค่าครองชีพแก่ประชาชน เช่น นโยบายคนละครึ่ง ซึ่งขณะนี้เรื่องระบบการใช้-วงเงินอยู่ระหว่างการพูดคุย การลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เช่น ลดค่าทางด่วน รวมถึงอาจจะมีการปรับนโยบายที่พรรคภูมิใจไทยเคยหาเสียงไว้ เช่น โซลาร์รูฟท็อป เป็นโซลาร์ชุมชน 1,500 เมกะวัตต์ เพื่อให้เข้ากับการทำงานของอายุรัฐบาล 4 เดือน นอกจากนี้จะมีการหยิบนโยบายของพรรคเพื่อไทย มา เช่น หวยเกษียณ โดยอาจจะมีการปรับรูปแบบ ส่วนนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย […]

“มทภ.2” เผยเขมรไม่มีท่าทีถอนอาวุธหนัก ลั่นเลิกคุยหากยังยั่วยุ

22 ก.ย.- “มทภ.2” ขอบคุณนายกฯ ไฟเขียวแก้ปัญหาชายแดน เผยเขมรไม่มีท่าทีถอนอาวุธหนัก มีแต่เพิ่มกำลัง ลั่นเลิกคุยหากยังยั่วยุ บินโดรน-ฝังทุ่นระเบิด ขณะที่กองทัพภาคที่ 1 ถก RBC สัปดาห์นี้ ส่วนด้านจันทบุรี – ตราด ยังไม่กำหนดวัน ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้า การนำผลประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา (GBC) เมื่อ 10 ก.ย.68 ไปสู่การปฏิบัติ โดยที่ประชุมกำหนด ให้มีการถอนอาวุธหนัก และยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดน กลับสู่ที่ตั้งปกติ โดยฝ่ายเลขานุการจีบีซี และอาร์บีซี จะหารือกันภายใน 3 สัปดาห์ เพื่อจัดทำแผนดำเนินการ และเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังตามกรอบเวลาที่กำหนด โดยให้คณะผู้สังเกตการณ์ (IOT) มาร่วมสังเกตการณ์ ล่าสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เปิดเผยความคืบหน้าการนัดประชุมคณะกรรมชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา (RBC) จัดทำแผนดำเนินการถอนอาวุธหนัก และยุทโธปกรณ์ทำลายล้างสูงออกจากพื้นที่ชายแดนว่า ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีท่าทีที่จะดำเนินการ มีแต่จะเพิ่มกำลังในพื้นที่ ซึ่งยังไม่ชัดว่าจะสามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้หรือไม่ และยังไม่ได้มีการกำหนดการประชุมRBC คาดว่าจะเป็นต้นเดือน ต.ค.นี้ […]

“อนุทิน” ขนทีมเศรษฐกิจถกสมาคมธนาคารไทย

สมาคมธนาคารไทย 22 ก.ย.- “อนุทิน” ขนทีมเศรษฐกิจถกสมาคมธนาคารไทย ชี้เป็นหัวใจระบบเศรษฐกิจ บอกเคยเป็น Banker มาก่อน ระบุความเห็นเอกชนเป็นประโยชน์ภายใต้เป้าหมายเดียวกันคือดันไทยก้าวสู้ศูนย์กลางอาเซียน-ภูมิภาค นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ประกอบด้วย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวรภัค ธันยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมหารือกับสมาคมธนาคารไทย โดยมีนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ให้การต้อนรับ จากนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวระหว่างการหารือในหัวข้อ “ฝ่าวิกฤต พลิกอนาคตเศรษฐกิจไทย ด้วยพลวัตใหม่” ว่า วันนี้ตนและทีมงานเศรษฐกิจต้องขอบคุณกับการต้อนรับที่อบอุ่น ตั้งใจมาพบกับทุกท่านหลังจากที่มีความชัดเจน ในการจัดตั้งรัฐบาล และตนได้ใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่ง ในการคัดสรรบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ มาบริหารงานด้านเศรษฐกิจในรัฐบาลของตน ซึ่งพวกท่านน่าจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว และวันนี้มีความจำเป็นต้องพบปะ สถาบันหลัก ทางเศรษฐกิจโดยสัปดาห์ที่แล้วได้เดินทางไปที่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมาย เพราะตนก็ออกจากวงการนี้ไปนาน เมื่อไปถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ก็ได้พบกับผู้ประกอบการ ที่เป็นมืออาชีพ […]