นายกฯ ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี ไม่ยอมให้ใครข่มขู่ ซัดกัมพูชาเล่นนอกกรอบข้อตกลง

บ้านพิษณุโลก 16 มิ.ย.-“แพทองธาร” นายกฯ ลั่นไทยมีศักดิ์ศรี-เข้มแข็ง ไม่ยอมให้ใครข่มขู่ กลั่นแกล้ง ซัดกัมพูชาเล่นสงครามข่าวสารนอกกรอบข้อตกลง ลั่นใครไม่เคารพกติกาจะไม่ถูกยอมรับจากทั่วโลก พร้อมตั้ง “บิ๊กเล็ก” หัวหน้าทีมเฉพาะกิจ ย้ำไม่รับเขตอำนาจศาลโลก ยอมรับสื่อสารออกสู่สาธารณะน้อย เพราะเคารพกรอบทวิภาคี เผยส่งข้อความถึง “ฮุน มาเนต” ดึงประชุม RBG จารึกเป็นลายลักษณ์อักษร

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเรียกหน่วยงานความมั่นคงเข้าประชุมที่บ้านพิษณุโลก เพื่อติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา


โดยระบุว่าที่ประชุมวันนี้ได้มีการพูดถึงการประชุม JBC เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่ได้มีการพูดคุยกันและได้ยอมรับกรอบ ส่วนรายละเอียดเป็นไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้แถลงการณ์ไปแล้ว

นอกจากนี้ที่ประชุมวันนี้ยังมีการพูดคุยกันในทุกระดับ ตั้งแต่หน้างาน มาจนถึงนายกรัฐมนตรี เป็นการพูดคุยติดต่อสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง และวันนี้ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจ เพื่อติดตามสถานการณ์ซึ่งเป็นทีมไทยแลนด์ หลังจากนี้จะให้พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำทีม ติดตามข้อมูลข่าวสารและดำเนินการทั้งหมด


ส่วนเรื่อง ICJ หรือศาลโลก ประเทศไทยไม่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ตอนนี้เราได้มีการตั้งทีมทำงานเช่นกัน เพื่อดูว่าเราจะปกป้องและตั้งรับอย่างไร และหาข้อมูลว่าเราจะสามารถปกป้องประเทศได้อย่างไร หรือตอบโต้อย่างไรได้บ้าง ซึ่งจะต้องมีกรอบในการทำงานนี้ โดยขณะนี้เรากำลังศึกษาในเรื่องข้อกฎหมาย รวมถึงประวัติศาสตร์ ยืนยันมีข้อมูลไว้ครบหมดแล้ว นี่เป็นความคืบหน้าของการประชุมในวันนี้

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สมเด็จฯ ฮุน เซน ออกมาประกาศเตรียมปิดทุกด่านพนมแดน หากไทยยังไม่ยกเลิกมาตรการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้ปิดด่าน เพียงแต่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิด ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อมีการปะทะเกิดขึ้น ทางไทยได้ทราบจากเพจกลาโหมกัมพูชา ซึ่งได้มีการตกลงกันแล้ว และหลังมีการตกลงกันว่าจะปรับกำลังที่ประชุม สมช.ในวันนั้นก็ได้มอบอำนาจให้กองทัพประเมินสถานการณ์ว่าจะดำเนินการอย่างไรให้เข้ากับสถานการณ์ แต่หลังคุยกัน เพจกลาโหมกัมพูชาได้ออกมาบอกว่าจะไม่มีการถอยกำลัง เราจึงกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน ซึ่งทางกัมพูชาก็มีการกำหนดเวลาเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างกำหนดเวลา และตนอยากบอกว่าได้มีการพูดคุยกันมาตั้งแต่ 28 พฤษภาคม กับพลเอกฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา มีการตกลงเป็นความเห็นร่วมกันว่าเราต้องการสันติภาพ ให้เกิดขึ้นระหว่างสอง ประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้ง แต่ต้องการรักษาชีวิตประชาชนทั้ง 2 ประเทศ ไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อของทหารด้วย นี่คือสิ่งที่เห็นตรงกัน ซึ่งคุยกันมาเรื่อยๆและตนก็พยายามคุยในกรอบ ของทวิภาคี นั่นคือกรอบการคุยระหว่างประเทศ ที่ทุกประเทศเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกัน เราต้องมีกรอบความเข้าใจที่ตรงกัน เพื่อให้เป็นไปตามกลไกระหว่างประเทศ แต่การคุยกันหลังไมค์ก็มีแน่นอน แต่สิ่งที่สื่อสารออกมาผ่านโซเชียลมีเดียที่นอกกรอบอยู่เรื่อยๆ เป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นมืออาชีพ ทำให้เกิดความวุ่นวาย ทั้ลสิ่งที่คุยหลังไมค์และคุยอย่างเป็นทางการ ตนคิดว่าการสื่อสารแบบนี้ทำให้เกิดผลลบกับทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งข้อความที่ทางกัมพูชาได้โพสต์ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน ทั้งไทยและกัมพูชา การที่จะประกาศถึงการปิดด่านหรือเรื่องใดๆ ทำให้เกิดผลกระทบต่อประะชาชนทั้ง 2 ประเทศ เรามีความห่วงใยทั้งเรื่องการค้าขาย การส่งผักผลไม้ หากมีการปิดด่านจะกระทบทั้งหมดอยู่แล้ว เราจึงไม่ได้ปิดด่าน แค่ปรับเวลา และตนได้แจ้งทางกัมพูชาแล้วว่าตนจะมีประชุมในวันนี้ก่อนเพื่อรายงานผลว่าเราจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

และวันนี้ตนได้ส่งข้อความถึงนายกรัฐมนตรีกัมพูชาเพื่อเสนอในจัดประชุม RBC เป็นการประชุมระดับกองทัพทั้ง 2 ประเทศ เพื่อพูดคุยกันว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ ซึ่งตนได้เห็นข้อความที่ทางกัมพูชาโพสต์ในเฟซบุ๊คแล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในกรอบ


เมื่อถามว่าจากปฏิกริยาหลังการประชุม JBC ที่ผ่านมา เหมือนกำลังใช้ทวิภาคีในการแก้ปัญหา ขณะที่กัมพูชากลับแสดงท่าทีไม่จริงใจที่จะคุยแบบทวิภาคี นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม JBC เราประชุมด้วยกันทั้งคู่ ถือว่ายอมรับกรอบของ JBC เราคุยร่วมกัน ต้องการสันติภาพร่วมกัน จะทำอย่างไรได้บ้างสันติภาพจึงจะเกิดขึ้น ตนมองว่า JBC ไม่มีปัญหาอะไร เป็นไปตามแถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ในเนื้อความได้มีการชี้แจงทุกอย่างแล้ว ไม่ได้ติดขัดว่าจะพลิกล็อค

เมื่อถามว่าดูเหมือนทางกัมพูชากำลังเล่นสงครามด้านข่าวสาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าการสื่อสารแบบนี้ ไม่ได้เกิดผลดีกับทั้ง 2 ประเทศ การปล่อยข่าว หรือข่าวที่ออกมาในหลายๆครั้ง ก็เคยมีการตกลงกันแล้ว ว่าอย่าเพิ่งปล่อยข่าวออกมา เพราะเราต้องคุยกันก่อนว่าจะเอาอย่างไร เพราะคนที่อยู่หน้างานกับคนที่รับฟังข่าวสารเป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นแล้ว เราทำอะไร ตัดสินใจอะไร หรือให้สัมภาษณ์อะไรออกไป ต้องเห็นใจคนหน้างานด้วยว่าตรงนั้นเป็นอย่างไร และเกิดอะไรขึ้นบ้าง และการที่เรากำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านในตอนแรก เพราะพบว่ามีการติดตั้งอาวุธระยะไกล มีอาวุธหนักที่เริ่มออกมาเยอะขึ้น เพราะมีประชาชนที่อยู่บริเวณนั้นจำนวนมากทั้ง 2 ประเทศ การที่เอาอาวุธขนาดใหญ่ออกมาแบบนั้น หากเราไม่กำหนดเวลาแล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา อาจเกิดความเสียหายได้

ส่วนจะทำอย่างไรให้โลกรู้ว่าไทยพยายามใช้กลไกทวิภาคีในการเจรจา นายกรัฐมนตรี ทุกอย่างมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งการประชุม JBC หรือสิ่งที่ตนเสนอไปในตอนนี้ จะเป็นระดับ GBC หรือ RBC ก็ได้ ขอให้มาคุยกันแบบมีการบันทึก ไม่ใช่แค่คุยกันแล้วแยกย้าย แต่การพูดคุยทั้งหมดถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร โลกสามารถรับรู้ได้ว่าเราพูดคุยอะไรกันบ้าง และในช่วงบ่ายวันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เชิญทูตทั้งหมดในประเทศไทย เข้ามารับฟังการชี้แจง และก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้มีการเชิญทูตกัมพูชา 2คน เข้ามาพูดคุยว่าเราต้องการทำอย่างไร รัฐบาลเคลื่อนไหวมาตลอด

“แต่สิ่งที่เราอาจจะทำน้อยกว่าเขา คือการสื่อสารออกสู่สาธารณะ เพราะเราเคารพในการเจรจาระหว่างประเทศ เราเคารพกรอบของทวิภาคี เราเคารพ เราให้เกียรติทั้ง 2 ประเทศ ว่าสิ่งที่คุย ควรเป็นสิ่งที่เป็นทางการ และอยู่ในกรอบของทวิภาคี นั่นคือสิ่งที่เมื่อทุกประเทศมีการติดต่อสื่อสารกัน ต้องยึดกรอบของทวิภาคีเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการเกิดขึ้นตลอดเวลาอย่างมากมาย เราก็ต้องบอกว่าจุดยืนของเราไม่เคยยั่วยุ หรือพูดเพื่อให้เกิดการปะทะใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ“ นายกรัฐมนตรี ระบุ

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวว่า ตนเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าอยู่ตรงนี้ และเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงบริเวณชายแดน นั่นแปลว่าตนต้องรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หากตนต้องตกลงในการปะทะก็แปลว่าต้องมีการคุยกับทหาร ว่าพร้อมหรือไม่ เราอยู่ในสถานะไหน เขาอยู่ในสถานะไหน ไม่ใช่พอมีเรื่องแล้วจะจุดให้ไฟติดได้เลย นี่คือกรอบที่เราต้องยึด แต่แน่นอนว่าการปล่อยข่าวหรือข้อมูลที่ไม่เป็นทางการออกมา และส่งผลกระทบ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อทั้ง 2 ประเทศ

ส่วนจะทำอย่างไรในเมื่อกัมพูชายังใช้สงครามข้อมูลข่าวสารในลักษณะนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องชี้แจง คนไทย ประเทศไทย นายกรัฐมนตรีและกองทัพ ที่ประชุมในทุกวันนี้เห็นตรงกันในทุกส่วน กองทัพก็คิดเหมือนรัฐบาลว่าต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้ แต่ทำอย่างไร ให้ยืดระยะเวลาการปะทะ การเสียเลือดเนื้อออกไป แต่ยังคงรักษาอธิปไตยไว้ได้ นี่คือเสียงที่ตรงกันของรัฐบาลและกองทัพ

“ใครจะปล่อยว่าข่าวว่า โห ตีกัน ยืนยันว่าไม่เคยตีกัน ตอนนี้ทั้งกองทัพ และรัฐบาล เห็นตรงกันว่าจะทำอย่างไร ดิฉันก็ให้เกียรติกองทัพเสมอ เพราะเป็นคนหน้างานและรู้เรื่องอาวุธทุกอย่าง ดิฉันคุยหลังไมค์อย่างไรก็เช็คกับกองทัพทุกครั้ง ว่าจะเดินอย่างไรแล้วจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ นี่คือสิ่งที่ทำเสมอกองทัพก็เช่นกัน ได้ปรึกษากับรัฐบาลตลอดว่าอะไรทำได้ หรือไม่ได้ ดิฉันขอย้ำอีกครั้งว่ารัฐบาลกับกองทัพ ไม่เคยมีปัญหาและขอให้ทุกคนช่วยกันซัพพอร์ตกองทัพและรัฐบาลให้เป็นหนึ่งเดียสกัน เพราะวันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ เราพูดในข้อความที่ตรงกัน และสามารถพูดได้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่น”

ช่วงท้าย นายกรัฐมนตรีพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง ว่า “เราจะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง ใส่ร้าย หรือขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน เราก็เป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน จุดนี้จะทำให้ทุกคนรู้ว่าถ้าไม่เคารพกฎกติกา ก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก”.-316.-สำนักขาวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ครม.เคาะเยียวยาผู้เสียชีวิตเหตุชายแดน รายละ 8-10 ล้าน

กรุงเทพฯ 5 ส.ค. – ครม. อนุมัติเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา รายละ 8-10 ล้านบาท พร้อมตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข่าวปลอม นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการกระชุม ครม. วาระสำคัญของรัฐบาล “ก้าวผ่านสองวิกฤติ เดินหน้าไปด้วยกัน” โดยระบุว่า รัฐบาลขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักของครอบครัวทุกๆ ครอบครัว แม้ว่าความสูญเสียที่เกิดขึ้นจะประเมินเป็นมูลค่ามิได้ แต่รัฐบาลจะขอผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน เพื่อชดเชยความสูญเสียต่อชีวิต ทรัพย์สิน และรายได้ของพี่น้องประชาชนทุกคนที่ได้รับผลกระทบ โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวทหารที่เสียชีวิต รวมรายละ 10 ล้านบาท และครอบครัวประชาชนที่เสียชีวิต รวมรายละ 8 ล้านบาท พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์ข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ เพื่อป้องกันข่าวปลอม ที่มุ่งหมายจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศและความปลอดภัยของประชาชน รวมถึงสถานการณ์ที่ไทยเราต้องประสบกับมาตรการภาษีการค้าจากสหรัฐอเมริกา ขอยืนยันว่าได้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างรอบคอบและต่อเนื่อง โดยยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศเป็นสำคัญ ส่วนการที่สหรัฐอเมริกาประกาศอัตราภาษีการค้าของไทยที่ร้อยละ 19 ทำให้ไทยยังคงมีศักยภาพแข่งขันได้ในเวทีโลก และยังคงความได้เปรียบประเทศคู่แข่งขันในภูมิภาค รัฐบาลจึงได้กำหนดมาตรการทางการเงิน ทั้งมาตรการ Soft loan มาตรการพักชำระหนี้ การส่งเสริมให้คนไทยใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และการตั้งงบประมาณเพื่อสนับสนุนและรองรับการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้มแข็งให้แก่พี่น้องเกษตรกรไทย เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ไปด้วยกันได้อย่างมั่นคง […]

“เป๊ก ผลิตโชค” ส่อโดนแจ้ง 2 ข้อหา รอผลตรวจเลือด 7 วัน

กทม. 5 ส.ค.-“เป๊ก ผลิตโชค” ส่อโดนแจ้ง 2 ข้อหา รอผลตรวจเลือด 7 วัน พิสูจน์หาสารเสพติดในร่างกาย พลตำรวจตรี ธนันท์ธร รัตนสิทธิภาคย์ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 เปิดเผยว่า ช่วงค่ำวานนี้ คนขับรถกระบะได้เข้ามาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนแล้ว โดยให้การว่า ตนกำลังจะขับรถกลับบ้าน เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ อยู่ดีๆ “เป๊ก ผลิตโชค” ก็กระโดดขึ้นมาบนฝากระโปรงรถ ตอนนั้นรู้สึกตกใจ จึงเลี้ยวรถเข้าปั๊มน้ำมัน ลงมาพูดคุยกับ “เป๊ก” จากนั้น “เป๊ก” ก็เข้ามาสวมกอด ยกมือไหว้ แล้วเบนไปหานายชุติเทพ มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ตนก็ขึ้นรถแล้วขับออกไป และไม่ทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น จนกระทั่งมาเปิดดูข่าว ส่วนคนขับรถแท็กซี่ที่ปรากฏภาพ “เป๊ก ผลิตโชค” ขึ้นไปเกาะบนหลังคารถ ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการติดต่อเข้ามาให้ปากคำ ด้าน “เป๊ก ผลิตโชค” ยังไม่ได้เริ่มสอบปากคำ เพราะยังอยู่ในการดูแลของทีมแพทย์ ซึ่งพนักงานสอบสวน ยินดีที่จะเข้าไปสอบปากคำที่โรงพยาบาล ถ้าหากแพทย์อนุญาต หรือ “เป๊ก ผลิตโชค” […]

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย