“นันทนา” ชี้การสื่อสารของรัฐบาลไทย ตามหลังเขมรหนึ่งก้าว

กทม. 16 มิ.ย.-“นันทนา” ชี้ การสื่อสารของรัฐบาลปมไทย-กัมพูชา ทำให้วิกฤติยิ่งวิกฤติมาก ตามหลังเขมรหนึ่งก้าวเสมอ แนะตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ชายแดน เพื่อการสื่อสารที่เป็นเอกภาพ ซัดนายกฯ ควรสื่อสารทางการ ไม่ใช่เฉพาะโซเชียลฯ ทำคนไทยขาดความเชื่อมั่น บอกควรคุยประชาคมโลกให้อยู่ข้างไทย


นางสาวนันทนา นันทวโรภาส สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงท่าทีของไทยหลังจากการประชุม JBC ว่า กระบวนการสื่อสารทางการเมืองของรัฐบาลไทยสอบตกตั้งแต่เริ่มมีข้อพิพาท จนกระทั่งถึงการเจรจา JBC รัฐบาลสื่อสารช้าเกินไป น้อยเกินไป ขาดเอกภาพ ขาดประสิทธิภาพ เห็นได้ชัดจากการสื่อสารที่ไม่รู้ว่าจะฟังใคร เพราะมีทั้งกระทรวงการต่างประเทศและแถลงการณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และแถลงการณ์ของทหาร รวมทั้งทวิตเตอร์ของนายกรัฐมนตรี ตกลงแล้วไม่รู้ว่าอันไหนคือการสื่อสารอย่างเป็นทางการ ทำให้การรับรู้ข้อมูลเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ข่าวลือก็เยอะ รัฐบาลต้องหันมาดูสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งระหว่างไทย- กัมพูชา เป็นสถานการณ์ที่วิกฤต แต่การสื่อสารของรัฐบาลทำให้วิกฤตยิ่งวิกฤตมากขึ้น และจนถึงขนาดนี้ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลตั้งวอลรูม หรือศูนย์บริหารสถานการณ์ชายแดนไทย -กัมพูชา เพื่อที่จะบูรณาการความร่วมมือ 3 ฝ่ายคือ รัฐบาล ทหาร และกระทรวงการต่างประเทศ และพยายามที่จะเป็นศูนย์กลางของข้อมูลข่าวสาร และกระบวนการตัดสินใจทั้งหมดควรอยู่ที่นี่

โดยแถลงการณ์ทหารทำให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจ แต่ความจริงแล้วการสื่อสารควรออกมาจากศูนย์บัญชาการเดียว โดยมีฝ่ายรัฐบาลเป็นคนนำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาข่าวลือ และสร้างความขัดแย้งสร้างความบาดมาระหว่าง 2 ประเทศ ซึ่งการตั้งวอลรูมตนเรียกร้องมาตั้งแต่ต้น ให้มีการทำงานร่วมกันของทั้ง 3 ฝ่ายและมีโฆษกเพียงคนเดียว ไม่ใช่การสื่อสารออกมาของแต่ละหน่วยงาน ต่างคนก็ต่างสื่อสาร ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดอย่างแรง ทำให้ประชาชนไม่รู้ว่าจะต้องฟังจากที่ไหน ซึ่งการสื่อสารภายในประเทศถือว่าทำได้ไร้ประสิทธิภาพ


“ดูจากเมื่อวานนี้การประชุม JBC เสร็จสิ้นไปตั้งแต่ บ่าย3 และบ่าย 3 มีแถลงการณ์ออกมา แต่กระทรวงการต่างประเทศมีแถลงการณ์ออกมา 3ทุ่ม นี่เป็นการสื่อสารที่ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องเดียวกันหรือไม่ทิ้งระยะห่าง ไป 6 ชั่วโมงเพิ่งนึกขึ้นได้ 9 ชั่วโมงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะมาสื่อสาร ทำให้การสื่อสารของเราอยู่หลังฝ่ายกัมพูชามาโดยตลอด เขาจะนำหน้าเราหนึ่งก้าวเสมอ ขณะฝ่ายไทยใช้ภาษาการทูตทุกอย่าง ส่วนฝั่งกัมพูชาใช้ภาษาทางการทหารมาโดยตลอด ฉะนั้นเมื่อเห็นการสื่อสารทางฝั่งกัมพูชาแล้วทางฝั่งไทยควรปรับการสื่อสาร ให้มีลักษณะที่ชัดเจนจะใช้ภาษาดอกไม้ต่อไป ก็จะทำให้คนไทยทั้งประเทศไม่รับรู้ข้อมูลที่แท้จริง และอาจจะมีผลในเชิงจิตวิทยาที่ทำให้คนไทยจำนวนหนึ่งรู้สึกหวั่นไหวกับสถานการณ์”นางสาวนันทนากล่าว

นางสาวนันทนา กล่าวต่อว่า การสื่อสารของไทยขาดน้ำหนักและไม่สามารถทำให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลควบคุม สถานการณ์ได้แล้ว หรือควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดว่าสามารถรักษาอธิปไตยของไทยได้แล้ว

นางสาวนันทนา ยังกล่าวถึงท่าทีของนายกรัฐมนตรีกับสถานการณ์แบบนี้ ว่า นายกรัฐมนตรีควรออกมาสื่อสารในฐานะนายกรัฐมนตรี หรือออกมาสื่อสารในฐานะผู้บัญชาการสถานการณ์ ความชัดเจนยังไม่มี แต่ถ้าออกมาสื่อสารในฐานะนายกรัฐมนตรี ช่องทางในการสื่อสารควรเป็นทางการมากกว่านี้ การโพสทวิตเตอร์ไม่ได้ทำให้การสื่อสารเป็นทางการ ที่ต้องการจะบอกอะไรกับประชาชน เพราะสถานการณ์นี้เป็นสถานการณ์ในภาวะวิกฤต ที่ประชาชนรู้สึกหวั่นไหว เพราะพูดถึงดินแดนของประเทศไทย อธิปไตยของชาติไทย ฉะนั้นถ้านายกรัฐมนตรีจะสื่อสาร ควรสื่อสารในฐานะนายกรัฐมนตรี และควรถ่ายทอดผ่านสื่อกระแสหลัก หรือโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ และสื่อสาร ด้วยสคริปที่เรียบเรียงมาอย่างชัดเจน ที่เป็นข้อมูลที่ต้องการจะสื่อสารกับคนในประเทศ เพื่อรายงานข้อมูลสถานการณ์และสร้างความมั่นใจในการควบคุมสถานการณ์


“นายกฯต้องสื่อสารอย่างเป็นทางการ ไม่อาจที่จะใช้ Social Media ในการที่ออกมาเพราะเราไม่แน่ใจว่า นั่นคือตัวของนายกที่เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย แล้วเป็นการสื่อสารเฉพาะกลุ่มที่ต้องการให้คนในโลกโซเชียลรู้เท่านั้น ไม่ใช่คนไทยทั้งประเทศ ซึ่งนี่จะเป็นปัญหา ถ้านายกยังสื่อสารแบบก้ำกึ่ง คนโดยทั่วไปก็ไม่รู้ว่าจะฟังใคร และสุดท้ายก็จะรู้สึกไม่มั่นใจในรัฐบาล นี่ก็เป็นผลมาจากการสื่อสารทางการเมืองในภาวะวิกฤตของนายกรัฐมนตรีเอง”นางสาวนันทนา กล่าว

นางสาวนันทนา กล่าวต่อว่า การสื่อสารในประเทศไทยไม่ใช่แค่สื่อสารกับคนในประเทศ ตอนนี้ประเทศไทยต้องเร่งสื่อสารกับประชาคมโลก ในขณะที่กัมพูชาเดินหน้าสื่อสารกับประชาคมโลก ด้วยการที่บอกว่าจะเอาเรื่องทั้งหมดขึ้นศาลโลก แต่ประเทศไทยยังไม่ได้ทำอะไรเลย สิ่งที่ควรจะทำในภาวะนี้ และเร็วที่สุดคือเรียกประชุมทูตานุทูตของทุกประเทศในไทย และสื่อสารให้ทราบว่าเราประเทศไทยจะทำอะไรกับสถานการณ์นี้ แล้วชี้แจงข้อข้องใจทั้งหมดที่บรรดาทูตานุทูตทั่วโลกสงสัย ว่าทำไมประเทศไทยถึงไม่ยอมขึ้นศาลโลก ดังนั้นต้องสื่อสารเชิงรุก เพราะเรารับมาโดยตลอด และเราต้องสื่อสารกับ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ด้วย ที่เป็นเสาหลักของ UNให้รับทราบว่า กระบวนการในประเทศไทย กลับกัมพูชาขณะนี้ ได้เดินตามหลักการที่ถูกต้องอย่างไร เพื่อให้ประชาคมโลกอยู่ฝั่งเรา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาประชาคมโลกคนอยู่ฝั่งเดียวกับเรา ฉะนั้นต้องรีบสื่อสารกับประชาคมโลกและสร้างเอกภาพในการสื่อสารด้วยการตั้งวอลรูมขึ้นมา รวมทั้งสื่อสารให้มาก และเป็นทางการเพื่อป้องกันข่าวลือ.-315 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ไร้คู่แข่ง “ไชยา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1

รัฐสภา 7ส.ค. – “ไชยา พรหมา” ได้รับเลือกเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 แบบไร้คู่แข่ง ประกาศพร้อมจับมือทุกฝ่ายทำให้สภาฯ เป็นที่พึ่งของประชาชน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม ได้พิจารณาลงมติเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 แทนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้พ้นจากตำแหน่ง โดยนายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอชื่อนายไชยา พรหมา สส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย เพียงชื่อเดียว จากนั้นนายไชยา ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมสภาฯ ว่า ขอบคุณประธานฯ และสมาชิก ที่ให้ความไว้วางใจให้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ขอยืนยันว่าจะใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์การทำงานทางการเมืองตลอดชีวิตการทำงานเพื่อสภาฯ แห่งนี้ อย่างน้อยสถาบันนิติบัญญัติเป็นกลไกที่มีความสำคัญไม่แพ้อำนาจฝ่ายบริหาร ประธานฯ และตัวไชยาเอง อยู่สภาฯ นี้มานาน ได้ผ่านกงล้อประวัติศาสตร์ทางการเมือง สถานการณ์การเมืองที่แตกต่างกันแต่ละยุคสมัย อยากเห็นองค์กรนิติบัญญัติแห่งนี้เป็นที่พึ่งของที่น้องประชาชนต่อไป และสิ่งหนึ่งที่อยากจะเห็นในขณะที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 คือ อยากเห็นความร่วมมือร่วมใจ ไม่ว่าจะฝ่ายค้าน […]

เปิด 13 ข้อตกลงหยุดยิง ไทย-กัมพูชา เห็นพ้องรักษาสันติภาพ

มาเลเซีย 7 ส.ค.-เสร็จสิ้นแล้ว การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee: GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ที่ 2 ชาติ เห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิง 13 ข้อระหว่างกัน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้1.ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี2.รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย3.ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย – กัมพูชา4.ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 และไม่สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขตของฝ่ายตน5.ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี6.การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา: การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถานพยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ7.กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์8.เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติดังนี้8.1 ดำรงการติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่8.2 จัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์ นับจากการประชุม […]

แม่ทัพภาค 2 เชื่อผลประชุม GBC เป็นทิศทางที่ดี

7 ส.ค. – มทภ.2 ขอรอผลอย่างเป็นทางการหลังประชุม GBC เชื่อจะไปในทิศทางที่ดี เมิน “ฮุนเซน” ขอไทยงดใช้ F-16 ร้องนานาชาติ หยุดขายเครื่องบินรบให้ไทย ส่วนกรณีสายลับเขมร รอเจ้าหน้าที่ตรวจสอบ พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ให้สัมภาษณ์ภายหลังรับมอบอุปกรณ์โดรนโลเคเตอร์ เครื่องจับพิกัดตัวโดรน รวม 30 เครื่อง มูลกว่า 8 ล้านบาท เครื่องนุ่งห่ม รวมถึงของใช้ที่จำเป็นเพื่อนำไปมอบให้ทหารแนวหน้า จากมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้จะได้ข้อสรุปในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) สถานการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร พลโท บุญสิน บอกว่ารอการชี้แจงอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าจะดีขึ้น ย้ำว่า ในข้อเสนอ 8 เรื่อง 6 ประเด็น ตนให้ความสำคัญ ทหารไทย ณ ปัจจุบันนี้อยู่ตรงไหนก็ให้อยู่ตรงนั้น คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นหลัก เน้นย้ำให้ทหารหน้าแนวตั้งอยู่ในความไม่ประมาท และตรึงกำลังไว้ตลอด เรื่องแผ่นดินไม่สามารถคุมได้ด้วยเครื่องมือ ต้องใช้คนเฝ้า เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีของกัมพูชาแล้ว เราจะต้องประกบไว้แบบนี้ […]

“พล.อ.ณัฐพล” เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย

มาเลเซีย 7 ส.ค.- “พล.อ.ณัฐพล” รมช.กลาโหม เข้าเยี่ยมคำนับนายกฯ มาเลเซีย ก่อนถก GBC ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ บ่ายนี้ เมื่อเช้าวันนี้ (7 ส.ค. 68) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เข้าเยี่ยมคำนับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนี้และเป็นเจ้าภาพของสถานที่การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป(General Border Committee: GBC) ไทย – กัมพูชา สมัยวิสามัญ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของกัมพูชาเข้าร่วมด้วย ซึ่งเป็นโอกาสแรกที่ฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชาได้พบกันในระดับรัฐมนตรีก่อนที่จะเข้าร่วมประชุม GBC สมัยวิสามัญ ที่จะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันนี้ Deputy Minister of Defence pays courtesy call on Malaysian Prime Minister before Extraordinary Session […]