“วิโรจน์” ชี้ 6 มาตรการกัมพูชา เดือดร้อนประชาชนตัวเอง

รัฐสภา 13 มิ.ย.- “วิโรจน์” ชี้ 6 มาตรการกัมพูชาตอบโต้ไทย เดือดร้อนประชาชนตัวเอง แนะ รัฐไทย พุ่งเป้า กลุ่มทุนกระเป๋าสตางค์ตระกูลฮุน โดยตรง เชื่อเป็นมาตรการกลับสู่โต๊ะเจรจาได้ ย้ำ ข้อพิพาทนี้เกิดจากกัมพูชาทำผิดเอ็มโอยู 43 บอกเวลานี้ ต้องเชียร์ทีมไทยไว้ก่อน


นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึง 6 มาตรการตอบโต้ไทยของกัมพูชา ว่า มาตรการที่ออกมาส่งผลกระทบทางลบต่อประชาชนชาวกัมพูชาทั้งสิ้น ทั้งเรื่องค้าขาย การส่งตัวผู้ป่วย ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่สนใจ ไม่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวกัมพูชา ไม่มีมาตรการใดที่ยอมเสียสละผลประโยชน์ของตัวเอง ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกาสิโน

นายวิโรจน์ ฝากข้อแนะนำไปยัง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ตอนนี้คงต้องพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผลประโยชน์ที่มีเครือข่ายโยงใยกับฮุน มาเนต และ ฮุน เซน หรือกลุ่ม LYP Group ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับตระกูลโดยตรง ที่มีความหนักเกี่ยวข้องกับธุรกิจกาสิโนขนาดใหญ่ และมีความโยงใยกับกลุ่มทุนไทยและนักการเมืองไทยบางกลุ่ม ดังนั้นรัฐบาลต้องเข้าไปตรวจสอบหากพบว่ามีการกระทำใดที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการกระทำความผิดตามกฎหมายก็ดำเนินการปราบปรามกวาดล้างให้สิ้นซาก และเชื่อว่ามาตรการในการจัดการแบบนี้ก็จะเกิดประโยชน์กับประชาชนคนไทยแน่ๆ และเป็นมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์และกระเป๋าเงินของตระกูลฮุนโดยตรง ดังนั้น 6 มาตรการไม่ได้ใส่ใจความเป็นอยู่ของประชาชนชาวกัมพูชาเลย หากเราดำเนินการมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่ฮุน มาเนต หรือ ฮุน เซน ก็จะสามารถจูงใจให้รัฐบาลกัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาด้วยความสมเหตุสมผลได้


นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า จนถึงปัจจุบันประเทศไทยยังไม่เคยมีข้อเรียกร้องใหม่ หรือมีเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้กับกัมพูชาเลย ซึ่งเราไม่ได้มีปัญหากับประชาชนชาวกัมพูชา และยังยึดมั่นกับเอ็มโอยู 43 จึงตั้งคำถามว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงนี้ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้อง และวันนี้ก็ยังออกมาตรการที่ทำร้ายประชาชนของตัวเองอีก ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็ควรอนุมัติงบกลาง รายการฉุกเฉินและจำเป็นในการช่วยเหลือชดเชยเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนตามแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาระดอกเบี้ยของผู้ประกอบการ และมีมาตรการซอฟต์โลน เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ปรับตัว ยืนยันว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชนชาวไทยกับกัมพูชา

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีจะส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเจรจา เพราะกัมพูชาอาจจะเข้าใจผิดเรื่องการตัดไฟและตัดเน็ต เป็นท่าทีที่ประนีประนอมเกินไปหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่าหากมีการเจรจาก็ดำเนินการ แต่เท่าที่เห็นแถลงการณ์ของฮุนเซน ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เข้าใจยาก ซึ่งการตัดน้ำตัดไฟก็เป็นมาตรการที่เป็นไปได้ แต่ยืนยันว่ามาตรการที่ได้ผล ควรจำกัดมาตรการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ เพราะการที่ทำอะไรลงไป ฮุน เซน หรือฮุน มาเนต ก็อาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ประชาชนได้รับผลกระทบ ดังนั้นกล่องดวงใจสำคัญที่ทำให้รัฐบาลรัฐบาลกัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาอย่างสมเหตุสมผล คือการพุ่งเป้าไปที่ กลุ่มทุนกัมพูชา LYP Group

เมื่อถามว่า 6 มาตรการที่ออกมาของกัมพูชาไม่กระทบกับไทยมากใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบบ้าง จึงได้แนะนำให้นายกฯ อนุมัติงบกลางเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาคนที่ได้รับผลกระทบ เพราะประชาชนคนไทยก็ส่งกำลังใจให้กับประชาชนเพื่อนร่วมชาติที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้น ดังนั้นมาตรการนี้ถือว่าเป็น มาตรการที่สมเหตุสมผล และเป็นการบอกรัฐบาลฝั่งกัมพูชาว่าเราพร้อมที่จะยืนระยะแบบนี้ตลอดไป ถ้าจะปิดตลอดไปก็เป็นความประสงค์ของ ฮุน เซน ฮุนที่ไม่สนใจประชาชนของตนเอง


“ผมอ่านแล้วผมตกใจมาก ขนาดคนป่วยที่มีความจำเป็น ที่ต้องการมีชีวิตรอด ถ้าเป็นรัฐบาลไทยคงไม่ทำ ที่จะไม่มีการอนุญาตให้มีการส่งตัวมารักษาพยาบาล ในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพมากกว่า ผมว่ารัฐบาลไทย
ประเทศไทยประเทศไทยเราห่วงชีวิตของประชาชนทุกคน และยืนยันว่าหนึ่งในมาตรการของฮุน เซน เรื่องการส่งออกผู้ป่วย สะท้อนแล้วว่าฮุน เซน และฮุน มาเนต ไม่ได้แคร์ประชาชนของเขา แต่เค้าแคร์กระเป๋าสตางค์ผ่านกลุ่มธุรกิจกาสิโนของเขามากกว่า เมื่อเรารู้กล่องดวงใจเขาแล้วเราก็ดำเนินการ พุ่งเป้าเลย“ นายวิโรจน์ กล่าว

ส่วนการออกมาตรการแบบนี้เป็นการยั่วยุไม่ให้เกิดการเจรจาเจบีซีหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีต้องรู้เท่าทัน ฮุน เซน และฮุน มาเนต ภาพลักษณ์ของการเจรจาคาดได้เลยว่าไม่มีผลสัมฤทธิ์ใดๆ แต่จะมีท่าทีกลับไปของทั้งสองฝั่ง ซึ่งทางฝั่งกัมพูชาพยายามปลุกเร้าว่า ประเทศไทยรังแกเขา ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฝ่ายที่ละเมิดเอ็มโอยู 43 คือฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา เรื่องคนที่มาเจรจามาในฐานะวีรบุรุษ ต้องแบกรับแรงและต้องกลับไปอย่างมีศักดิ์ศรี นี่คือสตอรี่ ที่กัมพูชาพยายามสร้าง ขณะที่ประเทศไทยอย่างไรก็ตามต้องสนับสนุน ท่านทูต นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ก่อน และต้องยอมรับว่า มีความรู้ความสามารถและเข้าใจการเมืองในประเทศกัมพูชา

“เหมือนมวย สู้กันในศึกวันลุมพินี ทางฝั่งเขาโห่ร้องปลุกเร้ามา ฝั่งเราดิสเครดิตกันเอง ตรงนั้นชั่วดีถี่ห่าง ก็เก็บไว้ก่อน แต่อย่างไรก็ต้องให้กำลังใจทีมประเทศไทยในการเจรจา และเมื่อรู้อยู่แล้วว่าฉากจบเขาวางแผนอย่างนี้ วันนี้สุนทรพจน์หรือสปีด ของนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องเตรียมได้แล้ว ที่ต้องยืนยันให้กับชาวกัมพูชาและนานาประเทศรู้ ว่าเราไม่ได้ผิดข้อตกลง เอ็มโอยู 43 เลย และไม่ได้ทำอะไรให้ฝั่งกัมพูชาอึดอัดเลย และไม่ได้กระทำการใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชาวกัมพูชาและชาวไทยเลย แต่ผลกระทบทั้งหมดมาจากรัฐบาลกัมพูชาทั้งสิ้น และยืนยันไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลกัมพูชาไม่มีความชอบธรรม และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ และความเป็นอยู่ของประชาชนชาติตัวเอง หากกลับมายึดตามเอ็มโอยู 43 ประเทศไทยก็พร้อมจะเจรจา” นายวิโรจน์ กล่าว

นายวิโรจน์ กล่วว่า ได้เวลาแล้วที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเชิญทูตานุทูตต่างๆรวมถึง UN เข้ามาชี้แจงว่าเราไม่ได้ละเมิดเอ็มโอยู 43 แล้ววันนี้ที่ดูเหมือนว่าการเจรจาจะไม่สัมฤทธิ์ผล และไม่ได้เรียกร้องอะไรที่กระอักกระอ่วนและ ไม่ได้เรียกร้องอะไรที่เกินกว่าที่กัมพูชาจะรับได้เลย ดังนั้นข้อพิพาทระหว่างประเทศ ตนยังยืนยันว่าคือความชอบธรรม และความชอบธรรมควรได้รับการเข้าอกเข้าใจ จากการสื่อสารทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ

ส่วนมาตรการที่ไม่ให้มีการฉายละครไทย แต่เปลี่ยนไปฉายประวัติของฮุน เซน แทน นายวิโรจน์ ถามกลับว่า ชาวกัมพูชาอยากดูหรือไม่ ทำไม กัมพูชาไม่ตัดไฟที่เข้ามายังกาสิโน ที่เป็นกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง แต่มาตรการที่ออกมา มีแต่จะทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาเดือดร้อนทั้งนั้น แต่กลุ่มทุนมือซ้ายมือขวาไม่ได้รับผลกระทบเลย

นายวิโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า แม้เอ็มโอยู 43 ไม่ได้ลงนามด้วยรัฐบาลนี้ แต่ก็พร้อม ที่จะรับผลพวงจากการลงนาม ในฐานะรัฐบาลทั้งสิ้น เรายังไม่ปฏิเสธเลย ทั้งที่รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นคนลงนาม แต่เอ็มโอยู 43 คนลงนามและมีส่วนเกี่ยวข้องคือ ฮุน เซน แน่นอน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการจรดปากกาด้วยความสมัครใจ แต่วันนี้กลับลืม ว่าเคยจะจรดปากกาอะไรไว้ แล้วจะมีความชอบธรรมอะไร กับการก่อข้อพิพาท และ มีความชอบธรรมอะไรกับการกำหนดมาตรการ ที่ทำร้าย ทำลายประชาชนชาวกัมพูชา.-315 -สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดดัง จ.เลย

มหาสารคาม 6 ส.ค. – มอบตัวแล้วอดีตเจ้าคณะตำบล ยิงเจ้าอาวาสวัดในพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย บาดเจ็บ หลังหนีไปกบดานที่บ้านเกิด จ.มหาสารคาม ตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่า จากกรณี พระอธิการมานพพร อายุ 47 ปี เจ้าอาวาสวัดโพนสว่าง และเจ้าคณะตำบลเขาแก้ว ขับรถยนต์หลบหนีไป หลังใช้ปืนจ่อยิงพระมหาโยธิน เจ้าอาวาสวัดป่าพัฒนาราม และเจ้าคณะตำบลจอมศรี จนได้รับบาดเจ็บ ขณะที่พระครูถาวรเทวธรรม เจ้าคณะตำบลธาตุ และเจ้าอาวาสวัดสวนธรรมเทวราช เจ้าคณะตำบลธาตุ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย หลบหนีได้ทันจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ เกิดเหตุในวัดพื้นที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ต่อมาศาลจังหวัดเลยอนุมัติหมายจับในข้อหา “พยายามฆ่าผู้อื่น และมีอาวุธปืน กระสุนปืน พกพาโดยไม่มีเหตุอันควร” วันนี้ ที่ห้องสืบสวน สภ.เมืองมหาสารคาม พระอธิการมานพพร หรือนายมานพพร ผู้ต้องหาก่อเหตุยิงพระ 2 รูป เข้ามอบตัว เนื่องจากถูกตำรวจกดดันอย่างหนัก เบื้องต้นให้การว่า วันเกิดเหตุมีการปรึกษากัน แต่ไม่ได้ทะเลาะ สาเหตุมาจากตนเองโดนกลั่นแกล้งจากทางพระทั้ง […]

แรงงานกัมพูชาแห่กลับประเทศ รัฐบาลขู่ยึดที่ดิน-ถอดสัญชาติ

6 ส.ค. – รัฐบาลกัมพูชาขู่ยึดที่ดินและถอดสัญชาติแรงงานที่ดื้ออยู่ไทย ส่งผลวันนี้ (6 ส.ค.) ชาวกัมพูชาแห่เดินทางกลับประเทศ ทำจุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี รถติดยาว 8 กิโลเมตร ที่จุดผ่านแดนถาวรตลาดบ้านแหลม ต.เทพนิมิต อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ตั้งแต่ช่วง 06.00 น. รถติดยาวเหยียดร่วม 8 กิโลเมตร ทั้งรถเช่าเหมา รถตู้ และรถรับจ้างที่ขนแรงงานชาวกัมพูชากลับประเทศ ส่วนภายในบริเวณตลาดบ้านแหลม ช่วงเวลา 07.00 น.ที่ผ่านมา ยังพบชาวกัมพูชาร่วมกว่า 20,000 คน ขนสัมภาระ ข้าวของ มารอเต็มหน้าด่าน มากกว่า 2-3 วันที่ผ่านมา ทั้งนี้ เป็นเพราะมีกระแสข่าวรัฐบาลกัมพูชาขู่จะออกมาตรการเอาจริงกับแรงงานกัมพูชาที่ยังดื้อไม่ยอมกลับประเทศก่อนวันที่ 10 สิงหาคมนี้ จะยึดที่ดินทำกินและถอดสัญชาติ คาดว่าจุดนี้จุดเดียวคนจะกลับกัมพูชาเฉียดครึ่งแสนคน แรงงานกัมพูชากลับประเทศ นายจ้างกลัวไปไม่กลับที่ตลาดสดแห่งหนึ่งใน อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี พบว่ายังมีแรงงานกัมพูชาก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ แต่มีสีหน้าเคร่งเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แรงงานเล่าว่าไม่อยากกลับกัมพูชา กลับไปก็ไม่มีงานทำ ทางครอบครัวที่กัมพูชาก็โทรมาห่วงว่าคนไทยจะทำร้าย […]

เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า ตรึงกำลังเข้ม

6 ส.ค.- เปิดภาพทหารไทยวางรั้วลวดหนามช่องอานม้า พร้อมตรึงกำลังเข้ม ป้องกันทหารกัมพูชาตัดรั้วลวดหนาม รอบ 2 เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ตรวจพบกำลังทหารกัมพูชาเข้ามาดำเนินการตัดลวดหีบเพลง ที่ทางฝ่ายไทยได้วางไว้เพื่อเสริมความมั่นคงในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย ณ บริเวณพื้นที่ตลาดช่องอานม้า อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (5 ส.ค.) โดยทางฝ่ายไทยได้ดำเนินการแจ้งให้ยุติการกระทำดังกล่าว พร้อมให้ถอยออกจากพื้นที่ ซึ่งฝ่ายกัมพูชาปฏิบัติตาม และได้ออกจากบริเวณดังกล่าวในทันที ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เข้าดำเนินการกางลวดหีบเพลงให้เข้าสู่สภาพเดิม ปัจจุบันยังคงมีการตรึงกำลังที่ฐานปฏิบัติการในพื้นที่เขตอธิปไตยของไทย-สำนักข่าวไทย

เอาผิด 2 ข้อหา อดีตทหาร BHQ-เรียกภรรยาให้ข้อมูล

บุรีรัมย์ 6 ส.ค. – ผู้การบุรีรัมย์ เค้นสอบอดีตทหารองครักษ์พิทักษ์ฮุนเซน ยืนยันไม่ได้เป็นสายลับ หลังถูกจับพร้อมเครื่องแบบทหาร-อาวุธปืน เบื้องต้นตั้ง 2 ข้อหา พร้อมเรียกภรรยามาให้ข้อมูล จากกรณีตำรวจ สภ.ลำดวน จ.บุรีรัมย์ จับกุมนายวิน ดา ทหารเขมรชุด BHQ องครักษ์พิทักษ์ฮุน เซน ได้ในบ้านพักหลังหนึ่งใน อ.กระสัง ซึ่งเป็นบ้านของภรรยาชาวไทย พร้อมปืนลูกซองไทยประดิษฐ์และเครื่องกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 จำนวน 3 นัด กระสุนปืนขนาด.38 อีก 3 นัด และเครื่องแบบทหารที่มีตราสัญลักษณ์ BHQ หลายรายการ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของทหารกัมพูชา หน่วยรบพิเศษ BHQ ซึ่งเป็นองครักษ์พิทักษ์สมเด็จฮุน เซน จึงควบคุมตัวมาสอบปากคำที่สถานีตำรวจภูธรลำดวน อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ เพราะคาดว่าน่าจะเป็นสายลับเข้ามาฝังตัว ส่งความเคลื่อนไหวทางการทหารไทยให้ฝ่ายกัมพูชา รับเป็นทหารBHQ จริง แต่ไม่ใช่สายลับพล.ต.ต.ณรงค์ศักดิ์ พรหมทา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ลงพื้นที่สอบปากคำนายวิน ดา ด้วยตัวเอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง […]