รัฐสภา 13 มิ.ย.- “วิโรจน์” ชี้ 6 มาตรการกัมพูชาตอบโต้ไทย เดือดร้อนประชาชนตัวเอง แนะ รัฐไทย พุ่งเป้า กลุ่มทุนกระเป๋าสตางค์ตระกูลฮุน โดยตรง เชื่อเป็นมาตรการกลับสู่โต๊ะเจรจาได้ ย้ำ ข้อพิพาทนี้เกิดจากกัมพูชาทำผิดเอ็มโอยู 43 บอกเวลานี้ ต้องเชียร์ทีมไทยไว้ก่อน
นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึง 6 มาตรการตอบโต้ไทยของกัมพูชา ว่า มาตรการที่ออกมาส่งผลกระทบทางลบต่อประชาชนชาวกัมพูชาทั้งสิ้น ทั้งเรื่องค้าขาย การส่งตัวผู้ป่วย ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่สนใจ ไม่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวกัมพูชา ไม่มีมาตรการใดที่ยอมเสียสละผลประโยชน์ของตัวเอง ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจกาสิโน
นายวิโรจน์ ฝากข้อแนะนำไปยัง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่า ตอนนี้คงต้องพุ่งเป้าไปที่กลุ่มผลประโยชน์ที่มีเครือข่ายโยงใยกับฮุน มาเนต และ ฮุน เซน หรือกลุ่ม LYP Group ซึ่งเป็นกลุ่มที่เชื่อมโยงกับตระกูลโดยตรง ที่มีความหนักเกี่ยวข้องกับธุรกิจกาสิโนขนาดใหญ่ และมีความโยงใยกับกลุ่มทุนไทยและนักการเมืองไทยบางกลุ่ม ดังนั้นรัฐบาลต้องเข้าไปตรวจสอบหากพบว่ามีการกระทำใดที่ใช้ประเทศไทยเป็นฐานการกระทำความผิดตามกฎหมายก็ดำเนินการปราบปรามกวาดล้างให้สิ้นซาก และเชื่อว่ามาตรการในการจัดการแบบนี้ก็จะเกิดประโยชน์กับประชาชนคนไทยแน่ๆ และเป็นมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่ผลประโยชน์และกระเป๋าเงินของตระกูลฮุนโดยตรง ดังนั้น 6 มาตรการไม่ได้ใส่ใจความเป็นอยู่ของประชาชนชาวกัมพูชาเลย หากเราดำเนินการมาตรการที่พุ่งเป้าไปที่ฮุน มาเนต หรือ ฮุน เซน ก็จะสามารถจูงใจให้รัฐบาลกัมพูชาเข้าสู่โต๊ะเจรจาด้วยความสมเหตุสมผลได้
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า จนถึงปัจจุบันประเทศไทยยังไม่เคยมีข้อเรียกร้องใหม่ หรือมีเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้กับกัมพูชาเลย ซึ่งเราไม่ได้มีปัญหากับประชาชนชาวกัมพูชา และยังยึดมั่นกับเอ็มโอยู 43 จึงตั้งคำถามว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่ละเมิดข้อตกลงนี้ ไม่มีความชอบธรรมที่จะเรียกร้อง และวันนี้ก็ยังออกมาตรการที่ทำร้ายประชาชนของตัวเองอีก ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีก็ควรอนุมัติงบกลาง รายการฉุกเฉินและจำเป็นในการช่วยเหลือชดเชยเยียวยาผู้ประกอบการและประชาชนตามแนวชายแดนที่ได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะภาระดอกเบี้ยของผู้ประกอบการ และมีมาตรการซอฟต์โลน เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยได้ปรับตัว ยืนยันว่าข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา เป็นข้อพิพาทระหว่างประชาชนชาวไทยกับกัมพูชา
เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีจะส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเจรจา เพราะกัมพูชาอาจจะเข้าใจผิดเรื่องการตัดไฟและตัดเน็ต เป็นท่าทีที่ประนีประนอมเกินไปหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่าหากมีการเจรจาก็ดำเนินการ แต่เท่าที่เห็นแถลงการณ์ของฮุนเซน ก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เข้าใจยาก ซึ่งการตัดน้ำตัดไฟก็เป็นมาตรการที่เป็นไปได้ แต่ยืนยันว่ามาตรการที่ได้ผล ควรจำกัดมาตรการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนของทั้งสองประเทศ เพราะการที่ทำอะไรลงไป ฮุน เซน หรือฮุน มาเนต ก็อาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ประชาชนได้รับผลกระทบ ดังนั้นกล่องดวงใจสำคัญที่ทำให้รัฐบาลรัฐบาลกัมพูชากลับมาสู่โต๊ะเจรจาอย่างสมเหตุสมผล คือการพุ่งเป้าไปที่ กลุ่มทุนกัมพูชา LYP Group
เมื่อถามว่า 6 มาตรการที่ออกมาของกัมพูชาไม่กระทบกับไทยมากใช่หรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบบ้าง จึงได้แนะนำให้นายกฯ อนุมัติงบกลางเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาคนที่ได้รับผลกระทบ เพราะประชาชนคนไทยก็ส่งกำลังใจให้กับประชาชนเพื่อนร่วมชาติที่อยู่ในพื้นที่ตรงนั้น ดังนั้นมาตรการนี้ถือว่าเป็น มาตรการที่สมเหตุสมผล และเป็นการบอกรัฐบาลฝั่งกัมพูชาว่าเราพร้อมที่จะยืนระยะแบบนี้ตลอดไป ถ้าจะปิดตลอดไปก็เป็นความประสงค์ของ ฮุน เซน ฮุนที่ไม่สนใจประชาชนของตนเอง
“ผมอ่านแล้วผมตกใจมาก ขนาดคนป่วยที่มีความจำเป็น ที่ต้องการมีชีวิตรอด ถ้าเป็นรัฐบาลไทยคงไม่ทำ ที่จะไม่มีการอนุญาตให้มีการส่งตัวมารักษาพยาบาล ในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพมากกว่า ผมว่ารัฐบาลไทย
ประเทศไทยประเทศไทยเราห่วงชีวิตของประชาชนทุกคน และยืนยันว่าหนึ่งในมาตรการของฮุน เซน เรื่องการส่งออกผู้ป่วย สะท้อนแล้วว่าฮุน เซน และฮุน มาเนต ไม่ได้แคร์ประชาชนของเขา แต่เค้าแคร์กระเป๋าสตางค์ผ่านกลุ่มธุรกิจกาสิโนของเขามากกว่า เมื่อเรารู้กล่องดวงใจเขาแล้วเราก็ดำเนินการ พุ่งเป้าเลย“ นายวิโรจน์ กล่าว
ส่วนการออกมาตรการแบบนี้เป็นการยั่วยุไม่ให้เกิดการเจรจาเจบีซีหรือไม่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีต้องรู้เท่าทัน ฮุน เซน และฮุน มาเนต ภาพลักษณ์ของการเจรจาคาดได้เลยว่าไม่มีผลสัมฤทธิ์ใดๆ แต่จะมีท่าทีกลับไปของทั้งสองฝั่ง ซึ่งทางฝั่งกัมพูชาพยายามปลุกเร้าว่า ประเทศไทยรังแกเขา ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะฝ่ายที่ละเมิดเอ็มโอยู 43 คือฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา เรื่องคนที่มาเจรจามาในฐานะวีรบุรุษ ต้องแบกรับแรงและต้องกลับไปอย่างมีศักดิ์ศรี นี่คือสตอรี่ ที่กัมพูชาพยายามสร้าง ขณะที่ประเทศไทยอย่างไรก็ตามต้องสนับสนุน ท่านทูต นายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย ก่อน และต้องยอมรับว่า มีความรู้ความสามารถและเข้าใจการเมืองในประเทศกัมพูชา
“เหมือนมวย สู้กันในศึกวันลุมพินี ทางฝั่งเขาโห่ร้องปลุกเร้ามา ฝั่งเราดิสเครดิตกันเอง ตรงนั้นชั่วดีถี่ห่าง ก็เก็บไว้ก่อน แต่อย่างไรก็ต้องให้กำลังใจทีมประเทศไทยในการเจรจา และเมื่อรู้อยู่แล้วว่าฉากจบเขาวางแผนอย่างนี้ วันนี้สุนทรพจน์หรือสปีด ของนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องเตรียมได้แล้ว ที่ต้องยืนยันให้กับชาวกัมพูชาและนานาประเทศรู้ ว่าเราไม่ได้ผิดข้อตกลง เอ็มโอยู 43 เลย และไม่ได้ทำอะไรให้ฝั่งกัมพูชาอึดอัดเลย และไม่ได้กระทำการใดๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชาวกัมพูชาและชาวไทยเลย แต่ผลกระทบทั้งหมดมาจากรัฐบาลกัมพูชาทั้งสิ้น และยืนยันไปว่า สิ่งที่เกิดขึ้นรัฐบาลกัมพูชาไม่มีความชอบธรรม และไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ และความเป็นอยู่ของประชาชนชาติตัวเอง หากกลับมายึดตามเอ็มโอยู 43 ประเทศไทยก็พร้อมจะเจรจา” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่วว่า ได้เวลาแล้วที่นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเชิญทูตานุทูตต่างๆรวมถึง UN เข้ามาชี้แจงว่าเราไม่ได้ละเมิดเอ็มโอยู 43 แล้ววันนี้ที่ดูเหมือนว่าการเจรจาจะไม่สัมฤทธิ์ผล และไม่ได้เรียกร้องอะไรที่กระอักกระอ่วนและ ไม่ได้เรียกร้องอะไรที่เกินกว่าที่กัมพูชาจะรับได้เลย ดังนั้นข้อพิพาทระหว่างประเทศ ตนยังยืนยันว่าคือความชอบธรรม และความชอบธรรมควรได้รับการเข้าอกเข้าใจ จากการสื่อสารทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพ
ส่วนมาตรการที่ไม่ให้มีการฉายละครไทย แต่เปลี่ยนไปฉายประวัติของฮุน เซน แทน นายวิโรจน์ ถามกลับว่า ชาวกัมพูชาอยากดูหรือไม่ ทำไม กัมพูชาไม่ตัดไฟที่เข้ามายังกาสิโน ที่เป็นกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง แต่มาตรการที่ออกมา มีแต่จะทำให้ประชาชนชาวกัมพูชาเดือดร้อนทั้งนั้น แต่กลุ่มทุนมือซ้ายมือขวาไม่ได้รับผลกระทบเลย
นายวิโรจน์ ยังกล่าวต่อว่า แม้เอ็มโอยู 43 ไม่ได้ลงนามด้วยรัฐบาลนี้ แต่ก็พร้อม ที่จะรับผลพวงจากการลงนาม ในฐานะรัฐบาลทั้งสิ้น เรายังไม่ปฏิเสธเลย ทั้งที่รัฐบาลนี้ไม่ได้เป็นคนลงนาม แต่เอ็มโอยู 43 คนลงนามและมีส่วนเกี่ยวข้องคือ ฮุน เซน แน่นอน ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการจรดปากกาด้วยความสมัครใจ แต่วันนี้กลับลืม ว่าเคยจะจรดปากกาอะไรไว้ แล้วจะมีความชอบธรรมอะไร กับการก่อข้อพิพาท และ มีความชอบธรรมอะไรกับการกำหนดมาตรการ ที่ทำร้าย ทำลายประชาชนชาวกัมพูชา.-315 -สำนักข่าวไทย