กทม. 7 มิ.ย.-“ปานเทพ” เตรียมแสดงจุดยืนถึง นายกฯ ให้ปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างเป็นรูปธรรม ชี้ รมว.กลาโหม ต้องติดกระดุมเม็ดแรกให้ถูก บอก “กัมพูชา” รุกล้ำ Thailand ไม่ใช่ No man’s land แนะยกเลิก MOU 2543 และเริ่มเจรจาพื้นที่ทับซ้อนใหม่จากดาวเทียม
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึง การยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีในวันที่ 10 มิถุนายนนี้ว่า ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดินไปพร้อมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล และนักวิชาการรวมถึงประชาชน ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ให้ปฏิบัติหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม แม้ตอนนี้จะมีคำแถลงจากกระทรวงกลาโหมหลายครั้ง แต่สิ่งที่ยังกังวลอยู่มาก คือสิ่งที่รัฐบาลไทยยังไม่ยืนยันผืนแผ่นดินไทยว่าอยู่ที่ไหน ในขณะที่ฝ่ายกองทัพยืนยันว่าแผ่นดินไทยอยู่ที่ไหนแต่อำนาจ การประท้วงอย่างเป็นทางการเพื่อไม่ให้เข้าข่ายกฎหมายปิดปาก ว่าแผ่นดินนั้นเป็นของประเทศไทย ต้องมาจากรัฐบาล ต้องมาจากกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ใช่แค่กองทัพ ดังนั้น วันนี้เรายังไม่ได้ยินว่ามีการรุกล้ำแผ่นดินไทย ไม่ใช่ รุกล้ำ No man’s land รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมจะต้องแก้ไขคำนี้ ให้ถูกต้องก่อน ซึ่งเป็นกระดุมเม็ดแรก ว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังถูกรุกราน อธิปไตยของแผ่นดินไทย ถ้ามายืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ เราจะกลับกระดุมเม็ดต่อไปผิดพลาดทั้งหมดในเวลาต่อมา
นายปานเทพ กล่าวว่าในวันอังคารที่ 10 มิถุนายนนี้จะไปยื่นข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล แต่จะยื่นเรื่องอะไรนั้นต้องรอดูสถานการณ์เพราะยังมีเวลาเหลืออีก 2-3 วัน แล้วหวังว่ารัฐบาลจะได้ฟังแล้วจะหนัก และทำในสิ่งที่เราได้พูดตั้งแต่วันนี้ให้เป็นรูปธรรม
“ณ ขณะนี้มีการรุกรานแผ่นดินไทยแล้วไม่ใช่ No man’s land แต่เป็น Thailand ต้องมีมาตรการ ในการประท้วงอย่างเป็นทางการ โดยกระทรวงการต่างประเทศ ต้องมีมาตรการในการผลักดันออก หรือจับกุมผู้กระทำความผิด ประหนึ่งกรณีนายวีระ สมความคิด ที่เคยถูกจับกุม บริเวณจังหวัดสระแก้ว และถูกดำเนินคดีความในกัมพูชา ถูกจำคุกอยู่ 3 ปี ประเทศไทยก็ต้องปฏิบัติในมาตรการแบบเดียวกัน ไม่ใช่มีแต่ข้อสงสัยว่าพื้นที่ แผ่นดินไทยเป็น No man’s land แต่ไม่รู้ว่าเป็นของใคร ขอย้ำว่าการพูดว่าเป็น No man’s land เป็นผลเสียหายต่อประเทศไทย เพราะเท่ากับไม่ยืนยันว่านั่นคือแผ่นดินไทย เพราะ No man’s land ในข้อตกลงเกิดขึ้นได้ เนื่องมาจากการขีดเส้น 2 เส้น คือทางฝั่งกัมพูชาที่คิดรุกล้ำเข้ามาในประเทศไทย กับการขีดของประเทศไทยที่ต้องยืนหยัดในแผ่นดินตัวเอง การลุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ที่อ้างว่าเป็น No man’s land จึงเท่ากับเป็นการรุกรานแผ่นดินไทย ต้องมีมาตรการชัดเจนและเป็นรูปธรรมซึ่งเราต้องดูปฏิกิริยารัฐบาล จากนี้จนถึงวันอังคาร” นายปานเทพ กล่าว
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า ต้องตระหนักว่าขณะนี้กัมพูชาต้องการอะไร คือต้องการไปศาลโลก และไม่ต้องการเจรจาใน JBC แต่กัมพูชายังกอด MOU 2543 ทำไมยังกอดอยู่ทั้งที่ไม่เจรจา เพราะเขากำลังอ้าง มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนซึ่งประเทศไทยไม่เคยยอมรับ และปรากฏอยู่ใน MOU 2543 ในกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิด ไทยควรใช้โอกาสนี้ยกเลิก MOU2543 และกลับมาประชุม JBC ตามที่ควรจะเป็น ตามลักษณะลองติจูดละติจูดที่มองเห็นได้แล้วในดาวเทียม ถ้าเรายังปะปนกันอยู่ โดยยึดเอาแผนที่ฝรั่งเศส อยู่ใน MOU 2543 กัมพูชาจะคิดเสมอว่าประเทศไทยกำลังยอมรับ แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน อันเป็นเหตุทำให้ไทยสูญเสียเขาพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบ และจะลุกลามไปไกลกว่านี้
นายปานเทพกล่าวว่า มาตรการของเขาตอนนี้เขาทิ้งการประชุม JBC แต่จะกอดแผนที่ใน MOU 2543 ถ้าเราตระหนักรู้เรื่องนี้เราต้องใช้โอกาส ในการละเมิดการประชุม JBC ของฝ่ายไทยและกัมพูชา ดังนั้น MOU 2543 ต้องยกเลิก เพื่อนำไปสู่การเจรจา ที่ไม่ได้มีความคาดหวังเกินหลักแนวธรรมชาติระหว่างไทยกัมพูชา ขณะนี้กัมพูชามีเป้าหมายและความคาดหวัง เขตแดนเกินไปไกลกว่าสันปันน้ำ ยึดแผนที่ฝรั่งเศสเป็นตัวตั้งแล้วเขาดำเนินการแบบนี้มาโดยตลอด ตนเคยเตือนเรื่องนี้เมื่อ 14 ปีที่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นประเทศไทยมีหน้าที่ยืนหยัดและยืนยันแผ่นดินของตนเอง
” วันนี้ถือว่าคำแถลงการณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พัฒนาขึ้น ว่าจะปกป้องอธิปไตยแต่ ยังไม่ชัดเจน ว่าแผ่นดินไทยอยู่ที่ไหน ยังไม่กล้ายืนยันว่าแผ่นดินไทย อยู่ที่ไหน ยังไม่ประท้วงกัมพูชาไหว้รุกล้ำแผ่นดินไทยพูดแต่คำว่าNo man’s land ทั้งที่จึงเป็น Thailand ไม่ใช่ No man’s land” นายปานเทพกล่าว
เมื่อถามว่า นายภูมิธรรมให้อำนาจเหล่าทัพในการเปิดหรือปิดด่าน มองว่าช้าไปหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ช้าไป แต่ถือว่าเเป็นอนาจของกองทัพบกชัดเจนแล้ว ซึ่งกองทัพบกมีหน้าที่ในการใช้ทุกมาตราการในการปกป้องอธิปไตยให้ได้มากที่สุด แต่ไม่พอ เพราะการประท้วงอย่างเป็นทางการเพื่อไม่ให้เข้าข่ายกฎหมายปิดปาก เหมือนกรณีปราสาทเขาพระวิหาร รัฐไทยต้องเป็นฝ่ายประท้วงในนามรัฐบาลไทย หรือในนามกระทรวงการต่างประเทศ นายกรัฐมนตรี เหมือนที่นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ประกาศ แต่วันนี้เรายังไม่ได้เสียงผู้นำรัฐบาลของประเทศไทยประกาศในเรื่องเหล่านี้ พูดแต่เราจะปกป้องอธิปไตยไทยแต่ไม่รู้ว่าแผ่นดินไทยอยู่ที่ไหน นี่คือจุดเปราะบางและจุดเสี่ยงที่สุด เราต้องการได้ยินเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ถ้าท่านทำไม่ได้ตนเชื่อว่าวันที่ 10 มิ.ย. จากผู้ที่ไปยื่นหนังสือจะไปไกลมากกว่าการเรียกร้องให้รัฐบาลปฏิบัติ ถ้ารัฐบาลทำไม่ได้อาจจะนำไปสู่ขับไล่รัฐบาลได้
เมื่อถามว่าประธานอาเซียนออกมาเป็นตัวกลางประสานระหว่าง 2 ประเทศ มองว่าจะทำให้ท่าทีของกัมพูชาอ่อนลงหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ทุกประเทศที่จะเข้ามาช่วยเป็นตัวกลางเจรจา ยืนยันอีกครั้ง ว่าขณะนี้เรายังไม่ยืนยันว่าเราถูกละเมิดอธิปไตย เราไม่แสดงภาพถ่ายดาวเทียมว่ามีการรุกล้ำอย่างไรเพื่อให้สากลรับรู้ มีแต่ฝ่ายกัมพูชาเท่านั้น แต่ฝ่ายไทยปล่อยให้โซเชียลเป็นผู้ประกาศ ทางรัฐบาลยังไม่ประกาศอะไรเลย เท่ากับเรานิ่งเฉย ไม่ปฏิเสธ ซึ่งตรงนี้ตนเป็นห่วงว่าจะซ้ำรอยปราสาทเขาพระวิหาร ดังนั้นเราต้องการคำประกาศที่ชัดเจน ไม่ใช่คำอวดอ้างว่า เราสนับสนุนกองทัพ หรือเราปกป้องอธิปไตย แค่นั้นไม่พอ วันนี้ต้องการยืนยัน และยืนยันว่าแผ่นดินไทยอยู่ที่ไหน รุกล้ำอย่างไร และต้องสร้างความรับรู้ในทางสากล ปิดรับกลายเป็นความลับมืดดำ ไม่ให้ประชาชนรู้ แล้วจะชนะทางสากลได้อย่างไร
“ฉะนั้นอย่าทำการสู้รบแบบที่คิดว่าประชาชนรู้ไม่เท่าทัน อย่าคิดว่า ประชาชนหรือสากลจะต้องเชื่อ ในสิ่งที่ไม่มีความชัดเจน และย้ำว่าวันนี้ต้องการความชัดเจน”นายปานเทพกล่าว
นายปานเทพ กล่าวต่อว่า รัฐบาลควรจะต้องดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อกดดันให้กัมพูชามาอยู่ในเวทีเจรจาที่ไม่เอาเปรียบ ประเทศไทย และสิ่งที่เราควรทำคือกระแสย้อนกลับ ให้รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น ประชาชนในฝั่งกัมพูชานั้นเดือดร้อน นี่คืออำนาจต่อรอง และอย่าคิดว่าไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด นั่นเป็นฝ่ายกองทัพพูด แต่รัฐบาลต้องต่อประโยคหลังให้ได้ เอกราชของไทยจะไม่ให้ใครข่มขี่ด้วย ไม่ใช่บอกแค่ว่าถึงเวลารบเราก็จะรบ ไม่พอ วันนี้มีการรุกล้ำเราต้องทำมากกว่านี้
เมื่อถามถึงโอกาสที่จะสูญเสีย 3 ประสาทตามแนวเขตแดนนั้น นายปานเทพ ยืนยันว่า 3 ปราสาทอยู่ในแนวสันปันน้ำของประเทศไทย ดังนั้นต้องใช้โอกาสนี้ยกเลิก MOU 2543 และเจรจาใหม่ เพื่อไม่ให้มีการซ้ำรอยกับปราสาทเขาพระวิหาร
“ถ้าตราบใดประเทศไทย ไม่บ้าจี้ไปรับอำนาจศาลโลกอีก เราก็ไม่มีทางให้ใครมาตัดสินเรา เพราะกฎบัตรสหประชาชาติก็ยืนยันว่าทุกประเทศมีอำนาจและอำนาจและมีความชอบธรรมในการปกป้องอำนาจอธิปไตยของตัวเอง ดังนั้นการปะทะชายแดนเกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะเรามี กลไก JBC ที่เป็นเรื่องของ 2 ประเทศต้องคุยกัน ชาติอื่นอย่าปล่อยให้มายุ่ง เรามีบทเรียนราคาแพงหลายครั้ง ในการที่ชาติอื่นเข้ามายุ่ง เราต้องยืนหยัดในกฎบัตร อาเซียน หรือกฎบัตรสหประชาชาติ ว่าไม่ให้ชาติอื่นแทรกแซง และย้ำว่าสันติวิธีโดยที่เขานั่งทับ เส้นแผ่นดินไทยไปแล้ว เพราะถ้าการเจรจาไม่สำเร็จ เขาจะนั่งทับไปตลอดกาล การเจรจาได้เปรียบหรือเสียเปรียบพื้นที่เหล่านั้น จะต้องไม่มีใครเอาเปรียบประเทศไทย” นายปานเทพ กล่าว.-319.-สำนักข่าวไทย